BLOG

    Home Blog IELTS แชร์แผนการเรียน IELTS ตารางอ่านหนังสือสอบสำหรับมือใหม่

แชร์แผนการเรียน IELTS ตารางอ่านหนังสือสอบสำหรับมือใหม่

คอร์สเรียน IELTS แนะนำ ติว IELTS ให้ได้ Band 7 ที่ Interpass

ถ้าน้อง ๆ กำลังวางแผนจะสอบ IELTS แต่ยังไม่รู้จะเริ่มอ่านจากตรงไหน บทความนี้จะช่วยเป็นไกด์ให้แบบครบ จบในที่เดียว! Interpass ได้รวบรวม แผนการเรียน IELTS สำหรับมือใหม่ มาให้ พร้อม ตัวอย่างตารางอ่านหนังสือรายสัปดาห์ ที่น้อง ๆ สามารถปรับใช้ตามเวลาที่มีได้ ไม่ว่าจะเตรียมสอบภายใน 1 เดือน หรือวางแผนล่วงหน้า 3 เดือนก็ตาม เป้าหมายคือให้น้อง ๆ มีทิศทางในการอ่าน พร้อมเทคนิคที่ใช้ได้จริง

เรียน IELTS ยังไงให้ไม่หลงทาง สำหรับน้อง ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้น

น้อง ๆ หลายคนอาจกำลังสงสัยว่า “จะเริ่มเรียน IELTS ยังไงดี?” เพราะข้อสอบ IELTS มีหลายพาร์ต ต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษครบทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน แถมยังมีเป้าหมาย Band Score ที่แตกต่างกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัยหรือหลักสูตรอินเตอร์ การวางแผนตั้งแต่แรกจึงสำคัญมาก! ลองเริ่มจากการทำความเข้าใจโครงสร้างข้อสอบ และกำหนด Band ที่ต้องการ จากนั้นค่อยวางแผนว่าจะ เรียน IELTS ด้วยตัวเอง หรือเลือกสมัคร คอร์ส IELTS ที่มีพี่โค้ชคอยดูแลดี

รู้จักโครงสร้างข้อสอบ IELTS ทั้ง 4 พาร์ต

IELTS แบ่งออกเป็น 4 ทักษะหลัก ได้แก่

  • Listening (การฟัง): ฟังบทสนทนาและการบรรยายจากเจ้าของภาษา ความยาวรวมประมาณ 30 นาที
  • Reading (การอ่าน): อ่านบทความเชิงวิชาการ 3 บทความ ตอบคำถามประมาณ 40 ข้อ ใช้เวลา 60 นาที
  • Writing (การเขียน): มี 2 Task ได้แก่ Task 1 เขียนสรุปกราฟ/ข้อมูล และ Task 2 เขียน Essay
  • Speaking (การพูด): สอบพูดตัวต่อตัวกับผู้สอบ ใช้เวลาประมาณ 11-14 นาที

น้อง ๆ ที่เพิ่งเริ่ม ติว IELTS ควรลองทำ Mock Test เพื่อดูว่าทักษะไหนแข็ง-อ่อน จะได้รู้จุดที่ต้องพัฒนา

เป้าหมายของน้อง ๆ คืออะไร? วางแผนตาม Band Score ที่ต้องใช้

ก่อนเริ่มเรียน IELTS สิ่งแรกที่ควรรู้คือ ต้องใช้คะแนน Band เท่าไหร่? เพราะแต่ละที่มีเกณฑ์ไม่เหมือนกัน เช่น

  • เรียนอินเตอร์ในไทย: เกณฑ์คะแนนที่พบได้บ่อยคือ 6.5 – 7.5 แต่ละคณะและมหาวิทยาลัยอาจแตกต่างกัน
  • เรียนต่อต่างประเทศ (UK, Australia, Canada): ต้องมี Band 6.5 – 7.0 ขึ้นไป
  • เรียนสายแพทย์ วิศวะ กฎหมาย: บางแห่งอาจขอ Band สูงถึง 7.5+

ถ้าน้อง ๆ รู้ Band ที่ต้องการแล้ว ก็จะสามารถวางแผนการเรียนได้แม่นยำขึ้น เช่น ถ้าเป้าหมาย Band 7+ อาจต้องใช้เวลาเตรียมตัว 3-6 เดือน หรือถ้าเวลาเหลือน้อย อาจต้องลง คอร์สติว IELTS แบบเร่งด่วน เพื่อประหยัดเวลา


เริ่มเรียน IELTS ด้วยตัวเอง VS สมัครคอร์สเรียน แบบไหนเวิร์คกว่า?

เรียน IELTS ด้วยตัวเอง

เหมาะกับน้อง ๆ ที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีพอสมควร รู้แนวข้อสอบ และสามารถจัดตารางอ่านได้ด้วยตัวเอง ข้อดีคือประหยัดค่าใช้จ่าย และสามารถเรียนได้ตามจังหวะของตัวเอง

สมัครคอร์ส IELTS 

เหมาะกับน้อง ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือไม่มั่นใจว่าควรเริ่มจากจุดไหน คอร์สติว IELTS จะช่วยวางแผนให้ครบทั้ง 4 พาร์ต มีเทคนิคเฉพาะในแต่ละส่วน และมีโค้ชคอยประเมิน Band แบบละเอียด จุดนี้ช่วยให้พัฒนาคะแนนได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะหากมีเวลาเตรียมตัวจำกัด

ตารางอ่าน IELTS สำหรับมือใหม่ พร้อมตัวอย่าง 3 เดือน

แผนเรียน IELTS 3 เดือน ทำตามนี้ได้ผลจริง

เดือนที่ 1: ปูพื้นฐาน + ทำความเข้าใจโครงสร้างข้อสอบ

  • เรียนรู้แนวข้อสอบทั้ง 4 พาร์ต (Listening, Reading, Writing, Speaking)
  • ฝึกคำศัพท์ IELTS เบื้องต้น + Academic Vocabulary
  • เริ่มฝึกทำ Part ง่ายก่อน เช่น Listening Part 1, Reading แบบ factual info
  • เขียน Writing Task 1 จากกราฟง่าย ๆ สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง
  • ฝึก Speaking Topic ทั่วไป เช่น Introduce Yourself, Daily Activities

เดือนที่ 2: เริ่มจับเวลา + ฝึกวิเคราะห์ข้อสอบ

  • ทำ Mock Test แบบจับเวลา สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง
  • ฝึก Reading & Listening แบบ Advance ขึ้น (มี distractor, vocabulary ยาก)
  • เริ่มฝึกเขียน Essay (Writing Task 2) แบบวางโครง
  • ฝึก IELTS Speaking Topic ที่ต้องแสดง Opinion หรือเป็น Abstract Topics พร้อมอัดเสียงฟัง

เดือนที่ 3: ตะลุยโจทย์จริง + เน้นจุดอ่อน

  • ทำ Full Mock Test จับเวลาเสมือนสอบจริงทุกสัปดาห์
  • ตรวจคะแนนย้อนหลัง วิเคราะห์ว่าอ่อนพาร์ตไหน
  • ติวเฉพาะจุด เช่น Grammar Writing / Paraphrase Reading / Fluency Speaking
  • ซ้อม Speaking กับโค้ชหรือเพื่อนแบบ Mock Interview

ตัวอย่างตารางอ่าน IELTS รายสัปดาห์ พร้อมสรุปเป้าหมายแต่ละวัน

เรียน IELTS ที่ไหนดี? แชร์ตารางอ่าน IELTS ครบทุกพาร์ต ที่ Interpass

ปรับแผนยังไงดี? ถ้ามีเวลาเตรียมมากกว่า 3 เดือน

ยิ่งถ้าน้อง ๆ มีเวลาเตรียมตัว มากกว่า 3 เดือน เช่น 4-6 เดือนขึ้นไป จะสามารถลงลึกในแต่ละพาร์ตได้มากขึ้น โดยเฉพาะ Writing และ Speaking ที่ต้องฝึกต่อเนื่อง

แนวทางปรับแผน

  • ใช้ 2 เดือนแรกสำหรับ “พื้นฐานแน่น” → Grammar + Vocabulary + Accent Listening
  • เดือนที่ 3-4: เริ่มฝึกแนวข้อสอบและเทคนิคการเดาคำตอบ
  • เดือนที่ 5-6: ทำ Mock Test จับเวลาแบบเสมือนจริงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง + วิเคราะห์ทุกพาร์ตอย่างละเอียด

ถ้าน้อง ๆ อยากมีโค้ชช่วยดู Band รายพาร์ต หรืออยากได้ฟีดแบ็คแบบตัวต่อตัว อาจลองเลือกสมัคร คอร์สเรียน IELTS แบบมีวางแผนรายบุคคล ก็ช่วยให้ประหยัดเวลาขึ้นเยอะเลย

ติว IELTS อย่างไรให้ได้คะแนนตรงเป้า?

การติว IELTS ให้ตรงจุด ไม่จำเป็นต้องท่องเยอะหรือเรียนทุกอย่างแบบมั่ว ๆ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าแต่ละพาร์ตออกอะไรบ้าง และมี “เทคนิคเฉพาะ” ที่ช่วยให้น้อง ๆ ประหยัดเวลา + ทำข้อสอบได้ตรงเป้า ลองมาดูกันเลยว่าพาร์ตไหนควรฝึกยังไงถึงจะได้ Band ที่หวังไว้!

เทคนิคฝึก Reading: อ่านไว เข้าใจแม่น

IELTS Reading วัดทั้งความเร็วและความเข้าใจ บทความจะใช้สำนวนเชิงวิชาการ และหลอกด้วยคำศัพท์หรือโครงสร้างประโยค ลองฝึกอ่านบทความวันละ 1 บทความจาก Cambridge IELTS Series + จับเวลา 20 นาที เพื่อฝึกทำให้ทันเวลา

  • ฝึก Skimming (อ่านภาพรวม) ก่อนเริ่มทำโจทย์
  • ใช้ Scanning เพื่อหา keyword ตอบคำถาม
  • ฝึกจับ “signal words” เช่น however, because, for example เพื่อเข้าใจโครงสร้างบทความ
  • ทำโจทย์ประเภท True/False/Not Given และ Matching Headings เป็นพิเศษ เพราะเป็นข้อที่หลอกเยอะที่สุด

Listening ต้องฝึกยังไง? ถึงจะจับคำได้แม้พูดเร็ว

Listening เป็นพาร์ตที่น้อง ๆ หลายคนกังวล เพราะพูดเร็ว มีสำเนียงหลากหลาย และฟังได้แค่รอบเดียว ลองใช้ Podcasts / YouTube เช่น IELTS Liz หรือ BBC Learning English ช่วยฝึกฟังให้หลากหลายมากขึ้น

  • ฝึก ฟังโดยไม่ดู Script ก่อน 1 รอบ แล้วลองเติมคำเอง จากนั้นเปิด Script ดูเฉพาะคำที่พลาด → จับว่าเพราะอะไรถึงฟังไม่ออก เช่น คำเชื่อม, คำกลืนเสียง, สำเนียง
  • ฝึก Dictation สั้น ๆ วันละ 5–10 นาที โดยเขียนตามที่ได้ยิน
  • เรียนรู้ สำเนียงต่างประเทศ เช่น British / Australian / Canadian

Speaking ฝึกพูดแบบไม่ต้องเป๊ะ แต่มั่นใจ

หลายคนคิดว่า Speaking ต้อง “พูดอังกฤษเป๊ะ” เท่านั้นถึงจะได้คะแนนดี แต่น้อง ๆ รู้ไหมว่า IELTS ให้คะแนนจาก Fluency, Coherence, Vocabulary, Grammar และ Pronunciation ไม่จำเป็นต้องพูดเหมือนเจ้าของภาษาก็ได้คะแนนสูงได้! 

  • ฝึกพูดคนเดียวหน้ากระจก (Self Practice) พร้อมจับเวลา Part 2
  • เขียน bullet point → ฝึกพูดจากใจไม่ต้องท่อง
  • ใช้คำเชื่อมช่วยให้พูดต่อเนื่อง เช่น Actually, I think that, One reason is that…
  • อัดเสียงตัวเองฟังย้อนหลัง แล้วเช็กว่าเราพูดติด ๆ หรือออกเสียงผิดไหม

ถ้าอยากได้ฟีดแบ็คแบบตรงจุด อาจลองหา Speaking Partner หรือเรียนกับโค้ชที่เชี่ยวชาญด้านการติวสอบ IELTS โดยตรง

Writing ต้องรู้ Template + โครงสร้างที่ใช้ได้จริง

Writing เป็นพาร์ตที่หลายคนได้ Band ต่ำ เพราะเขียนแบบไม่มีโครง ไม่มีเชื่อมโยง หรือใช้ Template ที่ไม่เหมาะกับคำถาม ควรเขียน Task 1 และ 2 อย่างละ 1 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้จับสไตล์โจทย์และบริหารเวลาเขียนได้ดี

1.จำโครงสร้างมาตรฐาน Task 1 และ Task 2 ให้แม่น เช่น

  • Task 1: Introduction → Overview → 2 Body Paragraphs
  • Task 2: Introduction → Opinion/Argument → 2-3 Body → Conclusion

2.ใช้ Template คำเชื่อม เช่น
On the other hand, In contrast, This clearly shows that…
3.ฝึกวิเคราะห์โจทย์ก่อนเขียนจริง 5 นาที → จดไอเดีย → วาง Outline ก่อนลงมือ
4.เขียน Essay และให้โค้ช/เพื่อนตรวจว่าเราเขียนตรงประเด็นไหม

เรียน IELTS เริ่มต้นไม่ยาก ถ้ามีแผนที่ดี

แม้ IELTS จะดูเหมือนข้อสอบที่ยาก แต่จริง ๆ แล้วหากน้อง ๆ มีแผนการเรียนที่ชัดเจน และฝึกอย่างมีเป้าหมาย ก็สามารถพัฒนาคะแนนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องเก่งอังกฤษมาก่อน ขอแค่ “รู้จุดอ่อน” และ “รู้แนวข้อสอบ” ก็เริ่มต้นได้ทันที

หากเรียนด้วยตัวเองไม่ไหว เรียน IELTS ที่ไหนดี 

Expert for IELTS

แพ็คที่ออกแบบมาเพื่อการเตรียมตัวสอบอย่างครบถ้วน โดยครอบคลุมเนื้อหาที่จำเป็นและจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับน้อง ๆ ชั้นมัธยมปลายที่ต้องการปูพื้นฐานภาษาอังกฤษและต้องการเรียน IELTS ด้วยตัวเองออนไลน์ที่บ้านหรือเลือกมาเรียนที่สาขา โดยจะประกอบไปด้วย

1.Grammar Foundation

เรียน IELTS ไม่มีพื้นฐานเลย เริ่มต้นด้วยการเสริมสร้างความเข้าใจในไวยากรณ์กับ Grammar Foundation ซึ่งรวมเนื้อหาสำคัญไว้ถึง 12 บท ครบทุกเรื่องที่จำเป็นในการสอบ IELTS ช่วยให้น้อง ๆ  มีพื้นฐานที่มั่นคงก่อนเข้าสู่การเรียน IELTS อย่างเต็มตัว

2.English Foundation

หากน้อง ๆ ต้องการปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษให้แข็งแรง English Foundation คือคอร์สที่ตอบโจทย์! สามารถเตรียมพร้อมทุกทักษะ ทั้งฟัง พูด อ่าน และเขียน เพื่อให้พร้อมสำหรับการสอบในระดับอินเตอร์ 

3.IELTS All-in-One

สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เทคนิคการทำข้อสอบอย่างครบถ้วน IELTS All-in-One เป็นคอร์สที่น้อง ๆ ไม่ควรพลาด! ครอบคลุม 4 ทักษะหลัก ได้แก่ Listening, Reading, Writing และ Speaking มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อทำคะแนนให้ได้ 6.5-7.0 ในระยะเวลา 45 ชั่วโมง โดยมี

  • E-Workbook: น้อง ๆ จะได้รับ E-Workbook ที่ช่วยให้สามารถทำการบ้านออนไลน์ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย
  • Tracking การเรียน: ระบบติดตามการเรียนช่วยให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าและพัฒนาการของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.IELTS ตะลุยโจทย์

หากเป้าหมายของน้อง ๆ คือการอัปคะแนนให้ได้ Band 7+ คอร์ส IELTS ตะลุยโจทย์ เป็นทางเลือกที่ดี ด้วยการฝึกทำโจทย์จริงกว่า 500 ข้อ พร้อม Simulation Test ที่ช่วยให้น้อง ๆ คุ้นเคยกับรูปแบบการสอบ

คอร์สเฉพาะทาง เสริมจุดอ่อนแต่ละทักษะ

  • Writing for IELTS
    คอร์สเรียน IELTS writing สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมทักษะการเขียน Writing for IELTS จะเน้นการฝึกเฉพาะ Part Writing ช่วยให้น้อง ๆ  พัฒนาทักษะการเขียนให้แม่นยำมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกระดับคะแนนในส่วนนี้โดยเฉพาะ
  • Speaking for IELTS
    คอร์ส Speaking for IELTS ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมทักษะการพูด โดยรวมคำถามที่มักออกสอบพร้อมเทคนิคการตอบ เพื่อเพิ่มความมั่นใจและคะแนนใน Speaking Part โดยเฉพาะ เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการมุ่งเน้นเฉพาะทักษะการพูด


ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคนิคการทำข้อสอบ การพัฒนาความมั่นใจ หรือการทำความเข้าใจกับรูปแบบข้อสอบที่ ติวเตอร์ Interpass สอน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รุ่นพี่ที่เรียนคอร์ส IELTS กับ Interpass สามารถทำคะแนนได้สูงตามเป้าหมาย หากน้อง ๆ คนไหนต้องการ ก็สามารถติดต่อ Interpass เพื่อขอคำแนะนำและทดลองเรียนได้ที่นี่


รีวิว Interpass – สถาบันติว IELTS ที่เด็กอินเตอร์บอกต่อ

สอบ IELTS ไม่ผ่านสักที? ลองติว IELTS Interpass โปรแกรมเทียบวุฒิ GIST

Date : Aug 19, 2025

You May Like