BLOG

    Home Blog Highlight รู้ไว้! 10 จุดที่ภาษาอังกฤษบริติชต่างจากอเมริกันอิงลิช

รู้ไว้! 10 จุดที่ภาษาอังกฤษบริติชต่างจากอเมริกันอิงลิช

ภาษาอังกฤษบริติชกับอเมริกันต่างกันยังไง?

ภาษาอังกฤษไม่ได้มีแค่สัญชาติเดียว หรือสำเนียงแบบเดียว น้องๆ คงเคยได้ยินคนพูดกันบ่อยๆ ว่า คนนี้พูดสำเนียงอเมริกัน หรือ คนนี้ออกเสียงสำเนียงอังกฤษแบบบริติชได้เป๊ะมาก แต่จริงๆ แล้วภาษาอังกฤษแบบบริติชกับอเมริกันแตกต่างกันยังไง แตกต่างที่วิธีการออกเสียงแค่นั้นหรือไม่? หรือมีจุดสังเกตอื่นๆ อีก? วันนี้พี่ๆ InterPass รวบรวม 10 ความแตกต่างระหว่างภาษาอังกฤษบริติชกับอเมริกันไว้ที่นี่

10 ความแตกต่างของภาษาอังกฤษบริติชกับอเมริกัน

ก่อนที่จะไปดู 10 ความแตกต่างของภาษาอังกฤษแบบบริติชกับอเมริกันว่าแตกต่างกันอย่างไร อยากให้น้องๆ ทำความเข้าใจก่อนว่าภาษาอังกฤษ ก็เหมือนภาษาไทย ที่มีสำเนียงแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น ยกตัวอย่างในไทย ก็มีทั้งสำเนียงคนภาคเหนือ สำเนียงภาคอีสาน สำเนียงภาคใต้ ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกที่ศัพท์บางตัว น้องๆ อาจจะรู้สึกไม่คุ้นชิน หรือไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ให้นึกเสมอว่า การได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ได้เข้าใจ และได้ลองใช้ภาษาอังกฤษหลายๆ แบบ ดีกว่าการที่ไม่รู้จักคำศัพท์เหล่านี้ในห้องสอบเสียอีก ดังนั้นถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยว่าภาษาอังกฤษแบบบริติชกับอเมริกันแตกต่างกันยังไง

คำศัพท์บางตัวต่างกัน

1. คำศัพท์บางตัวต่างกัน

ข้อที่ 1 คำศัพท​์บางตัวต่างกัน

ภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน มีทั้งคำศัพท์มากมายที่เหมือนกันไปเลย ทั้งตัวสะกด ความหมาย แต่ก็มีคำบางคำมีความหมายเหมือนกัน แต่ใช้คำศัพท์คนละแบบไปเลย เช่น

  • flat (บริติช) VS apartment (อเมริกัน) แปลว่า ที่พัก, ห้องเช่า
  • lift (บริติช) VS elevator (อเมริกัน) แปลว่า ลิฟต์
  • rubbish (บริติช) VS trash (อเมริกัน) แปลว่า ขยะ
  • football (บริติช) VS soccer (อเมริกัน) แปลว่า ฟุตบอล
  • lorry (บริติช) VS truck (อเมริกัน) แปลว่า รถบรรทุก

จากตัวอย่างทั้งหมด น้องๆ จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ทั้งตัวสะกด การออกเสียง ไม่ได้คล้ายคลึงกันเลย แต่กลับมีความหมายเหมือนกัน ให้น้องๆ พยายามท่องจำศัพท์เหล่านี้ให้ได้มากที่สุด 

การสะกดคำบางตัวต่างกัน

2. การสะกดคำบางตัวต่างกัน

ข้อ 2 การสะกดคำบางตัวต่างกัน

ในการใช้ภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน คำบางคำมีความหมายเหมือนกัน ตัวสะกดก็ใกล้เคียงกันมากๆ จะแตกต่างตรงที่ตัวสะกดเพียงบางตัวเท่านั้น ยกตัวอย่าง เช่น 

  • centre (บริติช) VS center (อเมริกัน) แปลว่า กึ่งกลาง, ตรงกลาง
  • colour (บริติช) VS color (อเมริกัน) แปลว่า สี
  • enrol (บริติช) VS enroll (อเมริกัน) แปลว่า ลงทะเบียน
  • marvellous (บริติช) VS marvelous (อเมริกัน) แปลว่า อัศจรรย์
  • monologue (บริติช) VS monolog (อเมริกัน) แปลว่า บทพูดคนเดียว หรือบทละครพูดเดี่ยว
มองพจน์ของคำนามแสดงหมวดหมู่ (Collective Nouns) ต่างกัน  

3. มองพจน์ของคำนามแสดงหมวดหมู่ (Collective Nouns) ต่างกัน  

สำหรับอเมริกันจะใช้คำนามแสดงหมวดหมู่เป็นเอกพจน์ แต่บริติชมักใช้เป็นพหูพจน์ เช่น คำว่า family, commitee, team, government เป็นต้น ยกตัวอย่างประโยค ดังนี้

  • My family is back from China. (อเมริกัน) = เอกพจน์
  • My family are all at living room. (บริติช) = พหูพจน์
  • The team is heading to the final stage. (อเมริกัน) = เอกพจน์
  • The team are heading to the airport. (บริติช) = พหูพจน์

จะเห็นว่าภาษาอังกฤษแบบบริติชมักใช้ในรูปพหูพจน์ แต่บางครั้งก็สังเกตว่าบริติชเอง ก็มีการใช้ผสมได้ทั้งสองรูปแบบ เช่น 

  • The team is playing a piano. หรือ The team are playing a piano. เป็นต้น
กริยา 3 ช่องบางตัวต่างกัน

4. กริยา 3 ช่องบางตัวต่างกัน

ข้อ 4 มีการใช้กริยา 3 ช่องบางตัวต่างกัน

ในการใช้กริยา 3 ช่อง หากน้องๆ ดูตารางกริยา 3 ช่อง จะเห็นตัวสะกดบางตัวที่แตกต่างกันชัดเจน คือ ในการผันรูปกริยาช่องที่ 2 คำบางคำในบริติชจะเติมคำลงท้ายด้วย -t ส่วนอเมริกันจะใช้ -ed

  • คำว่า learn แปลว่า เรียนรู้  ในการผันรูปกริยาช่อง 2 คือ learnt (บริติช) VS learned (อเมริกัน)
  • คำว่า dream แปลว่า ฝัน ในการผันรูปกริยาช่อง 2 คือ dreamt (บริติช) VS dreamed (อเมริกัน)
  • คำว่า lean แปลว่า พิง, เอียง ในการผันรูปกริยาช่อง 2 คือ leant (บริติช) VS leaned (อเมริกัน)
  • คำว่า smell แปลว่า กลิ่น ในการผันรูปกริยาช่อง 2 คือ smelt (บริติช) VS smelled (อเมริกัน)
5. การเลือกใช้กริยาช่วย (Auxiliary Verbs) ต่างกัน

5. การเลือกใช้กริยาช่วย (Auxiliary Verbs) ต่างกัน

ข้อ 5 การเลือกใช้กริยาช่วย (Auxiliary Verbs) ต่างกัน

กริยาช่วย หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Helping Verb ยกตัวอย่าง เช่น will, would, shall, should, can, could, need เป็นต้น ยกตัวอย่างการใช้กริยาช่วยที่แตกต่างกัน   

  • การใช้ shall / should คนบริติชชอบเลือกใช้คำว่า shall ในการกล่าวถึงอนาคต เช่น Shall we do this? Shall we go?  ในขณะที่คนอเมริกันจะเลือกใช้คำว่า should เนื่องจากดูเป็นกันเองมากกว่าคำว่า shall เช่น Should we do this? Should we go? 
  • การใช้ needn’t (บริติช) กับ don’t need to (อเมริกัน) เช่น You needn’t come to school (บริติช) กับ You don’t need to come to school (อเมริกัน)
การใช้ Preposition บางตัวต่างกัน

6. การใช้ Preposition บางตัวต่างกัน

ข้อ 6 การใช้ Preposition บางตัวต่างกัน

Preposition เป็นเรื่องที่น้องๆ ต้องเคยเห็นกันมาแล้วแน่นอน ยกตัวอย่างคำบุพบท เช่น in, on, at ฯลฯ มาลองสังเกต Preposition ที่ใช้ในประโยคแบบบริติชกับอเมริกันดูว่ามีความแตกต่างกันยังไง

  • to fill in a form (บริติช) VS to fill on (อเมริกัน) แปลว่า การกรอกข้อมูล
  • at the weekend (บริติช) VS on/ during/ over the weekend (อเมริกัน) แปลว่า ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
  • rained off (บริติช) VS rained out (อเมริกัน) แปลว่า เลื่อนออก หรือยกเลิก
  • to call on (บริติช) VS to call at (อเมริกัน) แปลว่า โทรหา (บุคคลใดบุคคลหนึ่ง)
  • to play in a team (บริติช) VS to play on a team (อเมริกัน) แปลว่า ทำงานเป็นทีม
ความนิยมในการใช้ Past Simple และ Present Perfect ต่างกัน

7. ความนิยมในการใช้ Past Simple และ Present Perfect ต่างกัน

ข้อ 7 ความนิยมในการใช้ Past Simple และ Present Perfect ต่างกัน เช่น หากเป็นเรื่องที่เพิ่งจบไป เป็นอดีตไปแล้ว อเมริกันจะนิยมใช้ Past Simple  แต่บริติชจะนิยมใช้ Present Perfect แทนการใช้ Past Simple เช่น 

  • I have lost my key. (บริติช) VS I lost my key. (อเมริกัน)
  • I have missed the train. (บริติช) VS I missed the train. (อเมริกัน)

นอกจากนี้ อเมริกันจะใช้ already, just, yet ในประโยคที่เป็น Past Simple และ Present Perfect แต่บริติชจะใช้ในประโยคที่เป็น Present Perfect เท่านั้น

  • สำหรับการใช้แบบบริติช: I have just finished my homework. (Present Perfect)
  • สำหรับการใช้แบบอเมริกัน: I just finished my homework. (Past Simple) หรือ I have just finished my homework. (Present Perfect)
การออกเสียงและสำเนียงอังกฤษกับอเมริกันต่างกัน

8. การออกเสียงและสำเนียงอังกฤษกับอเมริกันต่างกัน

ข้อ8 การออกเสียงสำเนียงบริติช VS อเมริกันก็แตกต่างกัน เช่น อเมริกันมักไม่ออกเสียงตัว H (/h/) แต่ในขณะที่บริติชมักออกเสียง H (/h/) และโทนเสียงของบริติชจะเป็นเสียงต่ำโดยส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีการออกเสียงบางสระแตกต่างกัน ยกตัวอย่าง เช่น 

  • water บริติช [วอ-เท่อะ] VS อเมริกัน [วอ-เตอร์]   
  • better บริติช [เบต-เต่อะ] VS อเมริกัน [เบ็ต-เตอร์] 
  • herb  บริติช [เฮิบ] VS อเมริกัน [เอิบ]
  • dance  บริติช [ดานซ์]  VS อเมริกัน [แดนซ์] 
  • chance บริติช [ชานส์] VS อเมริกัน [แชนส์]  
  • tomato บริติช [โทมาโท] VS อเมริกัน [โทเมโท]  
  • bath บริติช[บาต] VS  อเมริกัน [แบ่ต]  
  • vitaminบริติช[วิตามิน]  VS อเมริกัน [ไวตามิน]
ใช้สำนวนต่างกัน

9. ใช้สำนวนต่างกัน

ข้อที่ 9 ใช้สำนวนต่างกัน 

ยกตัวอย่างสำนวนที่มีความหมายเดียวกันแต่ใช้ศัพท์คนละคำ เช่น 

  • to flog a dead horse (บริติช) VS to beat a dead horse (อเมริกัน) แปลว่า พยายามทุ่มเททำอะไรบางอย่างมากๆ แต่สิ่งนั้นไม่มีทางที่จะสำเร็จได้เลย
  • to blow your own trumpet (บริติช) VS to toot your own horn (อเมริกัน) แปลว่า การพยายามพูดชื่นชม หรืออวดตนเองว่า ตนมีความสามารถหรือความสำเร็จในด้านใดบ้าง
  • to sweep something under the carpet (บริติช) VS to sweep something under the rug (อเมริกัน) แปลว่า การปฏิเสธที่จะยอมรับ หรือพยายามปกปิดสิ่งที่มันน่าอาย หรือสิ่งที่มันทำลายชื่อเสียงของตน
  • jump the queue (บริติช) VS cut in line (อเมริกัน) แปลว่า แซงคิว ตัดเข้าคิวตนเอง
  • skeletons in the cupboard (บริติช) VS  skeletons in the closet (อเมริกัน) แปลว่า การซ่อนสิ่งที่ไม่ดีของตนเอง พยายามปกปิดความลับที่จะทำให้ตนเองรู้สึกอับอาย หากมีคนรู้เข้า

 อีกหนึ่งตัวอย่างที่เป็นสำนวนคำเดียวกัน แต่สื่อคนละความหมาย เช่น

  • to table (บริติช) จะแปลว่า การเริ่มต้น ส่วน to table (อเมริกัน) จะแปลว่า การเลื่อน เช่น การเลื่อนประชุม  
ความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ข้ออื่น

10. ความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ข้ออื่น

ข้อที่ 10 ความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ 

ภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกันมีความแตกต่างกันพอสมควรแล้ว ยังมีความแตกต่างในรายละเอียดอีกเล็กน้อย ดังนี้

  • บริติชมักนิยมพูดโดยใช้ Question Tag หรือ A Tag Question เช่น This food isn’t very good. เมื่อใช้ Tag Question จะเป็นคำว่า This food isn’t very good, is it? ซึ่งการใช้ Question Tag เป็นการสื่อสารที่ทำให้ดูไหลลื่นเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนกับอยากจะพูดว่า อาหารมันไม่ได้อร่อยเลย เธอคิดเหมือนกันไหม? 
  • ในการเขียนตัวเลข บริติชจะมีคำว่า and อยู่หน้าตัวเลขสุดท้ายที่มากกว่า 100 แต่ในส่วนของอเมริกัน จะไม่เติม and ยกตัวอย่าง three thousand and two (บริติช) VS three thousand two (อเมริกัน)
  • การวางคำวิเศษณ์ (Adverb) ของบริติชกับอเมริกันแตกต่างกันตรงที่ บริติชจะวาง Adverb ไว้หลัง Verb เสมอ เช่น  He walks slowly. แต่อเมริกันจะใช้ He slowly walks. หรือ He walks slowly. ก็ได้
  • คำว่า river หรือแม่น้ำ ก็ใช้แตกต่างกัน สำหรับบริติชจะใช้คำว่า The River Seine แต่ในอเมริกันจะใช้ The Seine River 
  • การเขียนวันที่ ในบริติชจะนิยมเขียนขึ้นต้นด้วย The + วันที่ + of + เดือน + ปี เช่น The 10th of September 2022 แต่ในอเมริกันจะเขียนว่า September 10, 2022
รู้ความต่างแล้วดียังไง

รู้ความต่างแล้วดียังไง

การรู้ข้อแตกต่างในการใช้ภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกันดียังไง? จริงๆ แล้ว หากออกเสียงแบบบริติช ในการพูดกับคนอเมริกันแล้วเข้าใจไหม ก็ต้องตอบว่าเข้าใจ แต่หากน้องๆ รู้ข้อแตกต่าง ข้อควรระวังในการใช้อังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน จะทำให้ทักษะการพูดของน้องๆ พัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน ยิ่งพูดได้ถูกต้องมากขึ้น ออกเสียงถูกต้อง มีการใช้คำผสมระหว่างบริติชและอเมริกันที่น้อยลง ก็จะยิ่งมีโอกาสได้คะแนนดีขึ้นเรื่อยๆ และยังช่วยให้ทักษะการเขียนดีขึ้นไปอีก เพราะน้องๆ สามารถแบ่งประเภทคำศัพท์แบบบริติช หรืออเมริกัน และเลือกเขียนเองได้เลย ไม่ต้องใช้ศัพท์ผสมให้โดนหักคะแนนอีกต่อไป

เขียนได้ดีมากขึ้น

ในการเขียนนั้น เกณฑ์ในการให้คะแนนพาร์ทเขียน คือ การเรียงไวยากรณ์ที่ถูกต้อง และการเลือกใช้คำศัพท์ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ หรือเลือกใช้คำเชื่อมที่เหมาะสมเพื่อนำมาต่อประโยคให้สมบูรณ์ ดังนั้นน้องๆ ต้องมีคลังคำศัพท์ในหัวค่อนข้างมาก เพื่อเลือกใช้คำศัพท์ที่เหมาะสม 

ยกตัวอย่างการเขียนที่ควรระวัง เช่น I live in apartment with my family. However, our flat is too small for all of us. คำว่า apartment เป็นอเมริกัน ส่วน flat เป็นศัพท์แบบบริติช ถึงแม้ว่าทั้งสองคำนี้จะเป็นคำศัพท์เหมือนกัน แต่ใช้ในการเขียนภาษาอังกฤษคนละแบบ ดังนั้นไม่ควรที่จะใส่มาทั้งสองแบบในการเขียน 

พูดได้ดีมากขึ้น

อย่างที่ได้เคยบอกไปว่าการออกเสียงของบริติชกับอเมริกันนั้นต่างกัน ทั้งการออกเสียงและไม่ออกเสียงในบางพยัญชนะ การใช้โทนเสียงหรือเทคนิคการใช้คำในรูปประโยคต่างๆ ที่ใช้สื่อสารออกไป เมื่อน้องๆ รู้เทคนิคและความต่างเหล่านี้พร้อมกับนำไปฝึกฝนในการพูดบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาทักษะการพูดได้ดีมากขึ้นอย่างแน่นอน

เพราะความสำคัญของการพูดและการสื่อสารนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เช่น การสมัครเรียนหรือสมัครงาน หากมีการแนะนำตัวเองได้น่าสนใจและดึงดูดผู้ฟังก็ยิ่งมีโอกาสในการได้งานมากขึ้น หากอยากรู้ว่าการแนะนำตัวอย่างไรให้น่าสนใจ สามารถเข้าไปฝึก speaking IELTS ของทาง InterPass ได้เลย

อ่านจับใจความได้ถูกต้อง

เมื่อรู้ความแตกต่างแล้ว ทักษะการอ่านจับใจความก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีความรู้ ความเข้าใจศัพท์มากขึ้น ก็สามารถแปลประโยค เดาประโยคในแต่ละบริบทได้ถูกต้อง เช่น  

  • คำว่า rubber ของบริติช จะแปลว่า ยางลบ ส่วนของอเมริกันจะแปลว่า ถุงยางอนามัย
  • คำว่า pants ของบริติชหมายถึง กางเกงชั้นใน ส่วนของอเมริกันจะแปลว่า กางเกง

ในส่วนนี้หากน้องๆ ไม่รู้มาก่อนเลย ก็จะพลาดคะแนนไปเลย เพราะความหมายคนละแบบ

ยกตัวอย่างประโยค Please don’t forget to buy a rubber for me. ประโยคนี้หากแปลเป็นบริติช จะแปลว่า อย่าลืมซื้อยางลบมาให้ฉัน ส่วนถ้าแปลเป็นแบบอเมริกันจะแปลว่า อย่าลืมซื้อถุงยางอนามัยมาให้ฉัน 

ฟังเข้าใจมากขึ้น

การฟังเป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ยาก เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลา ใช้ความเคยชินถึงจะสามารถฟัง และจับใจความได้ดีขึ้น หากน้องๆ ได้ฟังสำเนียงหลายๆ แบบ ก็จะทำให้สามารถแปลประโยคได้ไวขึ้น เพราะมีความคุ้นเคยสำเนียงแบบต่างๆ นั่นเอง ยกตัวอย่าง เช่น การออกเสียง can’t ที่แปลว่า ไม่สามารถ จะออกเสียงว่า แคนท /kænt/ และในบริติชจะออกเสียงว่า คานท /kɑːnt/ 

มั่นใจกับการทำข้อสอบ Error Identification มากขึ้น

ในการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ เชื่อว่าพาร์ทที่หลายๆ คนกังวล คงหนีไม่พ้นกับพาร์ท Error Identification ซึ่งมักวัดคำศัพท์ ไวยากรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Tenses, Preposition, Nouns ดังนั้นหากน้องๆ คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษแบบต่างๆ ทั้งบริติช และอเมริกันเป็นอย่างดี ก็จะรู้ทั้งคำศัพท์เฉพาะ ข้อยกเว้น รวมทั้งความแตกต่างของศัพท์ สิ่งนี้จะช่วยให้น้องๆ มั่นใจกับการทำข้อสอบ Error Identification มากยิ่งขึ้น 

ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษแบบไหนนะ 

ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษแบบไหนนะ 

สำหรับการสอบวัดระดับทางภาษาอังกฤษที่สากลยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นการสอบ TOEIC หรือ IELTS หลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่าต้องใช้ภาษาอังกฤษแบบบริติชเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วข้อสอบเหล่านี้เป็นข้อสอบวัดระดับสากล จึงมีหลายสำเนียงผสมกัน ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงบริติช สำเนียงอเมริกัน หรือสำเนียงออสเตรเลียน 

แต่สำหรับการสอบ IELTS พี่ๆ InterPass อยากให้น้องๆ แยกการใช้ภาษาอังกฤษแบบบริติช หรืออเมริกันไปเลย ทั้งการเขียนและการพูด ให้พยายามหลีกเลี่ยงการเขียนหรือพูดโดยผสมศัพท์กันไปมา จะยิ่งทำให้น้องๆ เสียคะแนน

เรียนแบบไหนดี บริติช หรือ อเมริกัน?

เรียนแบบไหนดี บริติช หรือ อเมริกัน?

ในการเรียนภาษาอังกฤษ ต้องเรียนแบบไหนดี บริติชหรือเมริกัน? ก่อนอื่นน้องๆ ต้องหาจุดประสงค์หลักของตนเองก่อนว่า ต้องการเรียนไปเพื่ออะไร เช่น ต้องการเรียนต่อต่างประเทศที่อเมริกา ก็ให้ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นแบบอเมริกัน หรือหากจะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ก็ควรใช้ศัพท์บริติช แล้วสำหรับคนที่ไม่ได้จะไปเรียนต่อต่างประเทศล่ะ ควรใช้ภาษาอังกฤษแบบบริติชหรืออเมริกัน? พี่ๆ แนะนำให้เลือกจากความสนใจดีกว่า แต่ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะคำศัพท์บางคำ ก็มีความแตกต่างกันออกไปเลย ไม่ว่าจะเป็นตัวสะกด หรือการออกเสียง หากน้องๆ ใช้ผสมกันก็อาจทำให้สับสนเองได้นั่นเอง

จับสังเกต ภาษาอังกฤษที่ใช้อยู่เป็นแบบบริติชหรืออเมริกัน

จับสังเกต ภาษาอังกฤษที่ใช้อยู่เป็นแบบบริติชหรืออเมริกัน

มาลองสังเกตกันว่าประโยคแบบนี้ อันไหนเป็นบริติช หรือแบบไหนเป็นอเมริกัน?

  1. This room is too cold! Shall I turn on the heater? 
  2. What is the centre of Thailand?
  3. I already told you, don’t beat a dead horse!

เฉลย

  1. This room is too cold! Shall I turn on the heater? 

ประโยคนี้จะเป็นการพูดแบบบริติช เนื่องจากเน้นไปที่การใช้ Shall ในการถาม ซึ่งในแบบอเมริกัน จะใช้คำว่า Should I turn on the heater?

  1. What is the centre of Thailand?

ประโยคนี้จะเป็นการพูดแบบบริติช สังเกตได้จากคำว่า centre ที่สะกดแบบบริติช และสำหรับแบบอเมริกันจะสะกดว่า center

  1. I already told you, don’t beat a dead horse! 

ประโยคนี้จะเป็นการพูดแบบอเมริกัน เป็นการใช้สำนวน ซึ่งแปลว่า ฉันบอกคุณแล้วว่าอย่าพยายามลงแรงกับสิ่งนี้เลย มันเสียแรงเปล่า (สำนวนนี้จะแปลว่า พยายามทุ่มเททำอะไรบางอย่างมากๆ แต่สิ่งนั้นไม่มีทางที่จะสำเร็จได้เลย) และยังสังเกตจากการใช้ Past Simple Tense ในประโยคได้ด้วย I already told (verb 2) you. จะเป็นประโยคที่ใช้แบบอเมริกัน เพราะมีการใช้ already, just, yet ใน Past Simple 

สรุป จบไปแล้วเรียบร้อยกับรวม 10 ข้อแตกต่างระหว่างบริติชกับอเมริกันต่างกันยังไง น้องๆ คงเห็นภาพชัดขึ้นแล้ว ทั้งคำศัพท์ตัวที่สะกดเหมือนกัน แต่อ่านออกเสียงต่างกัน หรือการใช้ไวยากรณ์ Tenses และสำนวนต่างๆ จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันพอสมควร หากน้องๆ มีความรู้ด้านนี้มากขึ้น ทั้งรายละเอียดของการใช้ภาษาแบบบริติช และอเมริกัน ก็จะทำให้ทักษะทางภาษาอังกฤษของน้องๆ ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน และที่สำคัญที่สุด คือ การแบ่งใช้งานให้ชัดเจน ว่าภาษาอังกฤษแบบบริติชก็ใช้คำศัพท์บริติช ส่วนภาษาอังกฤษแบบอเมริกันให้ใช้คำศัพท์แบบอเมริกัน หรือสำหรับใครที่ไม่อยากเก่งทั้ง 2 สำเนียง อยากเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งไปเลย ก็ใช้ชุดคำศัพท์นั้นไปเลยทั้งชุด ไม่ผสมกันไปมาทั้งคำศัพท์และการออกเสียง

เทคนิคพิชิต BMAT part 1 แบบ Understanding Argument ติดชัวร์หมอรอบ 1 By ครูพี่นัน บทสัมภาษณ์น้องเอมี่ INDA จุฬาฯ สอบเทียบติดมหา'ลัยด้วย GED

Date : Dec 1, 2022

You May Like