BLOG

    Home Blog หมอรอบ 1 สอบแพทย์ รอบ 1 vs รอบ 3 ต้องใช้คะแนนอะไร? เลือกยังไงให้เหมาะกับตัวเอง

สอบแพทย์ รอบ 1 vs รอบ 3 ต้องใช้คะแนนอะไร? เลือกยังไงให้เหมาะกับตัวเอง

สอบแพทย์ รอบ 1 vs รอบ 3 ใช้คะแนนอะไร? เลือกยังไงให้เหมาะกับตัวเอง ที่ Interpass

การสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ ถือเป็นหนึ่งในสนามแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดของเด็กสายวิทย์ ด้วยจำนวนที่นั่งจำกัดและความคาดหวังที่สูง ทำให้การวางแผนเลือก “รอบสอบ” เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หลายคนอาจสงสัยว่า สอบหมอใช้คะแนนอะไรบ้าง? TBAT ยื่นรอบไหน? แพทย์ รอบ 1 กับรอบ 3 ต่างกันอย่างไร? แล้วเราควรเลือกสอบรอบไหนถึงจะมีโอกาสติดมากที่สุด? บทความนี้จะพาน้อง ๆ เจาะลึกข้อมูลคะแนนที่ใช้ในแต่ละรอบ พร้อมเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของแต่ละทางเลือก เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า รอบไหน “ใช่” มากที่สุด

คะแนนที่ต้องใช้สอบแพทย์ รอบ 1 และรอบ 3 ใช้อะไรบ้าง?

คะแนนที่ใช้ในการยื่น แพทย์ รอบ 1

การสอบเข้าแพทย์ รอบ 1 หรือ TCAS รอบ Portfolio เป็นรอบที่เน้นการพิจารณาจาก แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) และ คุณสมบัติเฉพาะของผู้สมัคร โดยแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีเกณฑ์การรับสมัครที่แตกต่างกัน ทั้งในด้าน GPAX, คะแนนภาษาอังกฤษ และการสอบเฉพาะทาง ซึ่งอาจรวมถึงคะแนนแต่ละสนามสอบ เช่น

TBAT (Thai Biomedical Admission Test)

ใช้ในสอบเข้าแพทย์ รอบ 1โดยรูปแบบข้อสอบ เป็นการสอบวัดพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และความถนัดทางการแพทย์

  • Biology (ชีววิทยา) – 35%
  • Chemistry (เคมี) – 25%
  • Physics (ฟิสิกส์) – 15%


CU-AAT (Chulalongkorn University Academic Aptitude Test)

CU-AAT เป็นการสอบที่จัดโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีลักษณะคล้าย SAT ของอเมริกา ใช้ในการสมัครหลักสูตรอินเตอร์หลายคณะ รวมถึงโครงการแพทย์ จุฬาฯ และเกษตรฯ
รูปแบบข้อสอบ
Math Section (คณิตศาสตร์) – คิดคำนวณ, แก้โจทย์
Verbal Section (ภาษาอังกฤษ) – การอ่านจับใจความ, คำศัพท์, ไวยากรณ์

UCAT (University Clinical Aptitude Test)

UCAT เป็นการสอบที่ใช้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนแพทย์และทันตแพทย์ในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เน้นวัความสามารถเฉพาะตัวที่จำเป็นในวิชาชีพแพทย์ เช่น การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความซื่อสัตย์

  • Verbal Reasoning
  • Decision Making
  • Quantitative Reasoning
  • Abstract Reasoning
  • Situational Judgement

นอกจากนี้ บางสถาบันยังอาจมีการสอบสัมภาษณ์แบบ Multiple Mini Interviews (MMI) เพื่อประเมินบุคลิกภาพ ทัศนคติ และความเหมาะสมกับวิชาชีพแพทย์เพิ่มเติมอีกด้วย

กล่าวโดยสรุป การสอบรอบ Portfolio ไม่ได้พิจารณาจากคะแนนสอบอย่างเดียว แต่เน้นการดู “ความพร้อมรอบด้าน” ของผู้สมัคร ไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านวิชาการ ความโดดเด่นเฉพาะทาง ทักษะภาษา หรือแม้แต่จิตอาสาและภาวะผู้นำ

ตารางเปรียบเทียบคะแนนที่ใช้ยื่นสอบแพทย์ รอบ 1 (TCAS68)

เรียน TBAT ที่ไหนดี? แนะนำคอร์ส TBAT ของ Interpass

จากข้อมูลตารางเปรียบเทียบ จะเห็นได้ชัดว่า ผู้สมัครสอบแพทย์ รอบ 1 จะต้องเตรียม “คะแนน” หรือ “องค์ประกอบสำคัญ” อย่างน้อย 5 ด้าน ดังนี้

1. Portfolio คณะแพทย์

ทุกมหาวิทยาลัยใช้ แฟ้มสะสมผลงาน เป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณา โดยควรมีความสอดคล้องกับหลักสูตรแพทย์ เช่น

  • กิจกรรมวิชาการ / แข่งขันวิชาการ
  • งานวิจัย, โครงงาน
  • กิจกรรมจิตอาสา, ความเป็นผู้นำ
  • ประสบการณ์ที่สะท้อนความตั้งใจเรียนแพทย์

2. GPAX (เกรดเฉลี่ย)

เกณฑ์ส่วนใหญ่กำหนดไว้ที่ 3.00 – 3.50 ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน โดยเฉพาะ รามาฯ, ศิริราชฯ, เกษตรฯ ที่มักต้องการผู้มีผลการเรียนสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป

3. คะแนนภาษาอังกฤษ

เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของเกือบทุกโครงการ โดยเฉพาะสถาบันที่เน้นการเรียนการสอนแบบนานาชาติ เช่น
IELTS ≥ 6.5–7.0 (ขึ้นอยู่กับแต่ละแห่ง) TOEFL, CU-TEP ก็อาจใช้แทนได้ในบางกรณี
สถาบันที่ใช้คะแนนภาษาเข้มข้น: จุฬาฯ, CICM (ธรรมศาสตร์อินเตอร์), มศว – Nottingham, ศิริราชฯ, มช

4. คะแนนสอบเฉพาะทาง

แตกต่างกันตามโครงการและมหาวิทยาลัย เช่น
– UCAT: ใช้เฉพาะที่ CICM ธรรมศาสตร์อินเตอร์
– TBAT + CU-AAT: ใช้ใน จุฬาฯ,  เกษตรฯ, ม.ขอนแก่น
– MCAT: อาจใช้แทน TBAT ได้ในบางโครงการของธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

การสอบเหล่านี้วัดความรู้และทักษะเฉพาะทาง เช่น วิทยาศาสตร์พื้นฐาน คณิตศาสตร์ ความคิดวิเคราะห์ และความพร้อมด้านการแพทย์

5. การสอบสัมภาษณ์ (MMI หรือแบบทั่วไป)

หลายโครงการจะมีขั้นตอนสุดท้ายเป็น การสัมภาษณ์ เพื่อวัดทัศนคติ จริยธรรม และการสื่อสาร เช่น
MMI (Multiple Mini Interviews): ใช้ใน CICM, ธรรมศาสตร์ภาคไทย และรามาฯ
การสัมภาษณ์แบบเดี่ยวหรือกลุ่ม แล้วแต่ลักษณะของแต่ละโครงการ

การสอบแพทย์ รอบ 1 อาจดูว่า “ไม่ใช้คะแนนสอบกลาง” แต่ความจริงแล้วเป็นรอบที่ต้องใช้ การเตรียมตัวรอบด้าน มากที่สุด ผู้สมัครต้องมีทั้งผลการเรียนที่ดี คะแนนสอบเฉพาะตรงตามเกณฑ์ ทักษะภาษาอังกฤษ และผลงานที่น่าสนใจใน Portfolio หากน้อง ๆ วางแผนล่วงหน้าและเลือกโครงการให้ตรงกับจุดแข็งของตัวเอง โอกาสสอบติดแพทย์ รอบพอร์ต ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

คะแนนที่ใช้ในรอบ 3 กสพท (Admission) ต้องสอบอะไรบ้าง?

สำหรับน้อง ๆ ที่วางเป้าหมายอยากเป็น “หมอ” และต้องการสอบเข้า คณะแพทยศาสตร์ ผ่านรอบที่ 3: Admission (กลุ่ม กสพท) สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียม สอบ 2 สนามหลัก ได้แก่
– TPAT1 วิชาเฉพาะ กสพท (คิดเป็น 30%)
– A-Level 7 วิชา (คิดเป็น 70%)

1.TPAT1 วิชาเฉพาะ กสพท

TPAT1 หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “ข้อสอบความถนัดแพทย์” เป็นสนามสอบเฉพาะที่วัดความเหมาะสมในด้านความคิด การวิเคราะห์ และจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพแพทย์

รูปแบบข้อสอบ
ข้อสอบแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ คะแนนเต็มรวม 300 คะแนน (พาร์ทละ 100) ได้แก่

Part 1: เชาวน์ปัญญา

วัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์และใช้เหตุผล เช่น

  • อนุกรม
  • การตีความข้อมูล
  • การอ่านจับใจความ
  • มิติสัมพันธ์

แนวข้อสอบคล้าย BMAT Part 1 และเหมาะสำหรับฝึกใช้ตรรกะและคณิตศาสตร์เบื้องต้น

Part 2: จริยธรรมทางการแพทย์

เน้นประเมินความคิด ความเข้าใจในสถานการณ์จำลองทางจริยธรรม เช่น

  • ความรับผิดชอบของแพทย์
  • การตัดสินใจเชิงจริยธรรม
  • ความถูกต้องตามกฎหมายและจรรยาบรรณ

เหมาะสำหรับผู้สมัครที่มีวิจารณญาณดีและสามารถให้เหตุผลเชิงคุณธรรมได้

Part 3: ทักษะการเชื่อมโยง

พาร์ทนี้วัดทักษะการคิดวิเคราะห์และจัดลำดับข้อมูลอย่างมีตรรกะ

  • ข้อความค่อนข้างยาว
  • โจทย์ซับซ้อน
  • ต้องถอดรหัสและหาคำตอบอย่างเป็นระบบ

หมายเหตุ: ปี 2567 TPAT1 จะคิดคะแนนจากเฉพาะข้อสอบชุดที่ 2 และ 3 รวมกัน 200 คะแนน (หลังจากยกเลิกชุดที่ 1 ซึ่งมีลักษณะคล้าย BMAT เกินไป)


2.A-Level 7 วิชา 

A-Level เป็นข้อสอบกลางที่วัดความรู้เชิงประยุกต์ในหลากหลายวิชาหลัก โดยในรอบ กสพท จะใช้คะแนนจากทั้งหมด 7 วิชา ได้แก่

A-Level เป็นข้อสอบกลางที่วัดความรู้สำหรับยื่นสอบหมอ รอบ 3


เงื่อนไขสำคัญ: ต้องได้คะแนนอย่างน้อย 30% ของคะแนนเต็มในแต่ละวิชา ถึงจะนำไปคิดคะแนนรวมได้
ใครที่อยากสอบติดรอบนี้ต้องวางแผนล่วงหน้าและซ้อมทำข้อสอบทั้ง 2 สนามนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะ TPAT1 ที่มีการแข่งขันสูงและเป็นข้อสอบที่วัดความรู้ที่มากกว่าแค่วิทย์-คณิต


ข้อดี-ความท้าทายของการสอบแพทย์ รอบ 1 vs รอบ 3

ข้อดีของรอบ 1

  • แข่งขันน้อยกว่า เพราะผู้สมัครต้องมีแฟ้มสะสมผลงานหรือกิจกรรมโดดเด่น ทำให้น้อง ๆ ที่เตรียมตัวมาอย่างดีมีโอกาสสอบติดสูงกว่า
  • ไม่ต้องรอสอบกลาง ช่วยลดความกดดันเรื่องการสอบหลายรอบและเวลาในการเตรียมตัวได้มากขึ้น

ความท้าทายของรอบ 1

  • ต้องมีแฟ้มผลงานหรือกิจกรรมโดดเด่น หากไม่มีผลงานที่ชัดเจน โอกาสสอบติดจะลดลง
  • รับจำนวนจำกัด เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยเปิดรับจำนวนผู้สมัครในรอบนี้ไม่มาก ทำให้การแข่งขันในกลุ่มผู้มีแฟ้มดี ๆ อาจเข้มข้น

ข้อดีของรอบ 3

  • ใช้คะแนนสอบกลางที่วัดผลชัดเจน เป็นการวัดความรู้และความสามารถผ่านข้อสอบมาตรฐาน ทำให้น้อง ๆ รู้ระดับตัวเองได้ชัดเจน
  • เปิดรับหลายสถาบันพร้อมกัน ช่วยเพิ่มโอกาสในการเลือกคณะและมหาวิทยาลัยตามคะแนนที่ทำได้

ความท้าทายของรอบ 3

  • การแข่งขันสูงมาก เพราะเปิดรับจำนวนมากและผู้สมัครจากหลายที่พร้อมกัน
  • ต้องเตรียมตัวสอบหลายวิชา ทั้ง TPAT1 และ A-Level ซึ่งใช้เวลาฝึกฝนและต้องมีความรู้รอบด้าน

แนวข้อสอบในแต่ละปีอาจมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้น้อง ๆ ต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด และปรับแผนการเตรียมตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

เราควรเลือกสอบแพทย์ รอบ 1 หรือรอบ 3?


แบบไหนเหมาะกับคนที่มีแฟ้มผลงานแน่น?

ถ้าน้อง ๆ มีแฟ้มสะสมผลงานที่แข็งแรง ทั้งกิจกรรมวิชาการ งานวิจัย การแข่งขัน หรือจิตอาสา ที่สอดคล้องกับสายแพทย์ การเลือกสอบแพทย์ รอบ 1 (Portfolio) จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมาก เพราะรอบนี้ให้ความสำคัญกับแฟ้มผลงานและคุณสมบัติเฉพาะของผู้สมัครสูง นอกจากนี้การแข่งขันในรอบนี้ยังน้อยกว่ารอบสอบกลาง ทำให้น้อง ๆ ที่เตรียมแฟ้มดี ๆ มีโอกาสติดสูงขึ้นและไม่ต้องกังวลเรื่องสอบหลายรอบ


แบบไหนเหมาะกับคนที่เก่งสอบและพร้อมลุยสนามสอบกลาง?

ถ้าน้อง ๆ เป็นคนที่มีความมั่นใจในการสอบหลายวิชา การเลือกสอบแพทย์รอบ 3 (Admission) จะเหมาะกว่า เพราะรอบนี้ใช้คะแนนสอบกลาง เช่น TPAT1 และ A-Level ที่เป็นการวัดความรู้และทักษะอย่างเป็นระบบ เปิดรับหลายมหาวิทยาลัยพร้อมกัน และมีจำนวนรับเยอะ เหมาะสำหรับคนที่พร้อมเตรียมตัวหนัก สามารถวางแผนฝึกฝนและจัดการเวลาในการสอบหลายวิชาได้ดี


เรียน ​TBAT ที่ไหนดี

การเตรียมตัวสอบ TBAT ไม่ใช่แค่เรื่องของการอ่านหนังสือให้จบ แต่เป็น การฝึกคิด วิเคราะห์ และเข้าใจเนื้อหาวิทยาศาสตร์ลึก ๆ ทั้งในเชิงวิชาการและภาษาอังกฤษในเวลาเดียวกัน
ด้วยความซับซ้อนของข้อสอบ TBAT ที่แตกต่างจากการสอบทั่วไป การเลือกสถาบันติวที่ “เข้าใจข้อสอบจริง” และ มีเทคนิคในการทำข้อสอบ ได้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากน้อง ๆ กำลังมองหาคอร์สที่ครบ จบ และเชื่อถือได้
แนะนำเรียนกับ Interpass – ผู้นำด้านการติวสอบเข้าหลักสูตรอินเตอร์


Expert for TBAT — คอร์สแนะนำจากทีมผู้เชี่ยวชาญ

คอร์สเรียน TBAT ของ Interpass ถูกออกแบบโดยทีมผู้สอนที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละวิชา พร้อมประสบการณ์ตรงจากการติวน้อง ๆ สอบเข้าหลักสูตรอินเตอร์มาแล้วนับไม่ถ้วน

จุดเด่นที่ทำให้ Interpass ต่างจากที่อื่น

  • สอนโดยทีมติวเตอร์ที่ เข้าใจแนวข้อสอบ TBAT จริง ไม่ใช่แค่สอนเนื้อหา
  • มีการออกแบบคอร์สให้สอดคล้องกับ Blueprint ข้อสอบ TBAT ล่าสุด
  • เสริมด้วยเทคนิค “จับเวลา–จับจุด” ที่จะช่วยเพิ่มความเร็วและแม่นยำในการสอบ
  • มีระบบ “Mock Exam ” ที่ปรับจากตัวอย่างข้อสอบ TBAT ให้ทำเพื่อประเมินความพร้อมก่อนสอบจริง
  • เรียนแล้วเข้าใจ ไม่ต้องอ่านซ้ำหลายรอบ

รายละเอียดคอร์ส

เรียน TBAT ที่ไหนดี? แนะนำคอร์ส TBAT ของ Interpass

ครบ จบ มั่นใจ ติดจริง!

หากน้อง ๆ อยากสอบติดแพทย์ รอบ 1 จุฬาฯ หรือคณะในฝัน คอร์ส TBAT กับ Interpass คือตัวช่วยที่ตอบโจทย์ที่สุด

สอบ IELTS ที่ Interpass ดีอย่างไร? คอร์สครบ ตารางสอบชัดเจน พร้อมสอบแบบ Computer-Based ใจกลางสยาม กรุงเทพฯ เทคนิคเพิ่มคะแนนสอบ IELTS Speaking

Date : Jun 9, 2025

You May Like