BLOG

    Home Blog IELTS เรียน IELTS Listening ยากเพราะสำเนียงต่างกัน? รวมเคล็ดลับฟังยังไงให้เข้าใจ ใช้ได้จริง

เรียน IELTS Listening ยากเพราะสำเนียงต่างกัน? รวมเคล็ดลับฟังยังไงให้เข้าใจ ใช้ได้จริง

เรียน IELTS Listening ยากเพราะสำเนียงต่างกัน? รวมเคล็ดลับฟังยังไงให้เข้าใจ ใช้ได้จริง

การ เรียน IELTS ไม่ได้วัดแค่ไวยากรณ์หรือศัพท์เท่านั้น แต่ IELTS Listening ถือเป็นพาร์ตที่ทำให้หลายคนกังวล โดยเฉพาะเรื่อง สำเนียงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น British, American, Australian หรือ Canadian Accent ซึ่งผู้สอบมักเจอปัญหาฟังไม่ออกแม้จะรู้คำศัพท์อยู่แล้ว

บทความนี้จะช่วยอธิบายว่าเพราะอะไร IELTS Listening ถึงใช้หลายสำเนียง และจะแชร์เทคนิคฝึกฟังที่ใช้ได้จริง รวมถึงแนวทางเลือก คอร์สเรียน IELTS ที่ไหนดี สำหรับคนที่อยากเพิ่ม Band 


ทำไม IELTS Listening ถึงใช้หลายสำเนียง?

ข้อสอบ IELTS เป็น International English Language Testing System จึงออกแบบมาให้สะท้อนการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตจริงทั่วโลก ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือทำงาน ผู้สอบต้องเจอการสื่อสารหลายแบบ ดังนั้นใน Listening Test จึงรวม สำเนียงอังกฤษ 4 แบบหลัก ได้แก่

  • British English → มักเจอในข่าว BBC หรือการบรรยายเชิงวิชาการ
  • American English → สำเนียงชัด ออกเสียง “r” เต็ม (เช่น car → carr)
  • Australian English → ฟังยากเพราะเสียงสั้นและมี slang เช่น arvo (afternoon)
  • Canadian English → คล้าย American แต่บางคำเสียงต่าง เช่น about → aboot

เคล็ดลับฝึกฟัง IELTS Listening ให้เข้าใจทุกสำเนียง

1. ฟังจากแหล่งจริง (Authentic Materials)

วิธีนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้ว ยากที่จะทำให้ต่อเนื่อง หากไม่เคยฝึกมาตั้งแต่เด็ก หลายคนเจอปัญหาว่าฟังแล้วไม่เข้าใจจนท้อ สิ่งสำคัญคือ อย่าฝืน ให้เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองสนใจก่อน เช่น คลิปสั้น ๆ 3–5 นาทีบน YouTube หรือ Podcast สั้น ๆ ระหว่างเดินทาง/ก่อนนอน จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มความยาวและเนื้อหาที่เป็นวิชาการมากขึ้น 

เปรียบเทียบสำเนียง British / American / Australian / Canadian

ตารางเปรียบเทียบสำเนียง British / American / Australian / Canadian


British English

  • แนะนำ: BBC News, The Guardian Podcast, TED Talks UK
  • จุดที่ควรโฟกัส: มักไม่ออกเสียง “r” ท้ายคำ เช่น car → cah และเน้นการ stress พยางค์แรก เช่น advertisement (AD-ver-tise-ment)
  • วิธีฝึก: จดคำศัพท์ที่ออกเสียงไม่เหมือน American เป็น “คู่เปรียบเทียบ” 

American English

  • แนะนำ: CNN, NPR Podcasts, New York Times Daily
  • จุดที่ควรโฟกัส: ออกเสียง “r” ชัด เช่น car → carr และมีการเชื่อมเสียง (linking sounds) เช่น wanna (want to), gonna (going to)
  • วิธีฝึก: เลือก podcast สั้น ๆ 5–10 นาที แล้วลองพูดตาม เพื่อฝึกจังหวะและ rhythm ของประโยค

Australian English

  • แนะนำ: ABC News Australia, SBS Podcasts, Netflix series
  • จุดที่ควรโฟกัส: ใช้ เสียงสั้น เช่น fish and chips → feesh and cheeps และชอบใช้ slang เช่น arvo = afternoon
  • วิธีฝึก: ทำ “slang notebook” โดยจดคำใหม่ ๆ พร้อมตัวอย่างประโยค → ฝึกเดาความหมายจาก context ก่อนเปิดดูคำแปล

Canadian English

  • แนะนำ: CBC News, Canadian radio shows, The Social Podcast
  • จุดที่ควรโฟกัส: คล้าย American แต่บางคำมี เสียงเฉพาะ เช่น about → aboot
  • วิธีฝึก: ฟัง casual conversations ที่คนแคนาดาพูดเร็ว ๆ จะเห็นความต่างเล็ก ๆ เช่น intonation ที่สูงขึ้นเล็กน้อยตอนลงท้ายประโยค

2. ใช้ข้อสอบเก่า + Mock Test

การฝึกจาก ข้อสอบ IELTS Listening จริง เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะจะเหมือนการ จำลองสนามสอบเสมือนจริง ช่วยให้หูคุ้นกับ สำเนียงหลายแบบ และฝึกความเร็วในการจับใจความ

วิธีการฝึก

  1. ตั้งเวลาเหมือนสอบจริง
    • จัดสภาพแวดล้อมให้เหมือนสอบ เช่น ตั้งเวลา 30–40 นาที ห้ามหยุดกลางทาง
    • ฝึก ความอึดและการบริหารเวลา ให้รู้จังหวะว่าควรฟังแล้วตอบคำถามยังไง
  2. ฟังซ้ำโดยไม่ดู script
    • หลังทำข้อสอบครั้งแรก ให้ฟังอีกครั้งเพื่อจับ คำที่ตกหล่น หรือ เสียงที่ฟังไม่ทัน
    • ทำให้เราสังเกตว่า ส่วนไหนต้องฝึกเพิ่ม เช่น เสียงเร็วหรือคำยาก
  3. ฟังพร้อม script
    • เช็คคำตอบและวิเคราะห์ว่า ตกหล่นเพราะอะไร
      • ศัพท์ยาก
      • สำเนียงพูดเร็ว
      • Linking sounds หรือการเชื่อมคำ
  4. ขีดคำที่ฟังไม่ออก
    • ทำเป็น error log เพื่อดูความผิดพลาดซ้ำ ๆ
    • เขียนสาเหตุและคำแนะนำตัวเอง เช่น “ต้องฝึก British accent เพิ่ม” หรือ “คำศัพท์เฉพาะทางไม่คุ้น”

3. ฝึก Phonetic Awareness

การเข้าใจ โฟเนติกส์ ช่วยให้จับเสียงต่างได้ชัดขึ้น

British vs American

  • schedule → UK: /ˈʃed.juːl/ | US: /ˈskedʒ.uːl/
  • ตัวอย่าง https://youtu.be/M_ncz2FAZjU?si=zFYGqaVbYIc-KPJ_
  • advertisement → UK: /ədˈvɜː.tɪs.mənt/ | US: /ˈæd.vɚ.taɪz.mənt/
  • ตัวอย่าง https://www.youtube.com/watch?v=vDoN0BllhPY
  • วิธีฝึก:
    • ใช้แอป Elsa Speak หรือ YouGlish เพื่อฟังการออกเสียงในสำเนียงต่าง ๆ
    • ลอง “พูดตาม” (shadowing) เพื่อฝึกการเชื่อมเสียงและ stress

4. จดโน้ตระหว่างฟัง

ข้อสอบ IELTS Listening ให้ฟังแค่รอบเดียว การจดโน้ตเร็ว ๆ จึงสำคัญมาก

  • จดแค่ keywords เช่น วัน เวลา ตัวเลข ชื่อสถานที่
  • ใช้สัญลักษณ์ย่อ เช่น
    • b/c = because
    • w/ = with
    • gov = government
  • สังเกต Signal Words เช่น however, in contrast, finally → บอกทิศทางของบทสนทนา

เทคนิคเสริม: ฝึกจาก TED Talks โดยจด note 1 หน้า แล้วลองสรุปใจความใน 3 บรรทัด


5. ค่อย ๆ ปรับหูให้ชินกับ Fast Speech

เวลาฟังข้อสอบจริง หลาย part จะพูดเร็วและใช้ natural speech

  • เริ่มจากดูคลิปที่มี subtitle → ฟังช้า (x0.75) → ปรับเป็นปกติ (x1) → เร่ง (x1.25 – x1.5)
  • ฝึกฟัง เพลง / Vlog / YouTube สำเนียง native เช่น vloggers จาก UK, US, AUS, Canada → จะได้จังหวะ (rhythm) และ intonation
  • ลองฝึก “dictation” → ฟังประโยคสั้น ๆ แล้วเขียนตาม → ช่วยให้จับรายละเอียดเล็ก ๆ ได้ดี

Accent ไม่ใช่อุปสรรคถ้าฝึกอย่างถูกวิธี

แม้ว่า IELTS Listening จะรวมหลายสำเนียง แต่หากฝึกฟังจากสื่อจริง + ใช้ Mock Test + มีโค้ชช่วยชี้จุดอ่อน ก็จะเข้าใจได้เร็วขึ้น การเลือก คอร์สเรียน IELTS หรือ ติวสอบ IELTS ที่เหมาะสมยังช่วยประหยัดเวลา และทำให้เป้าหมาย Band Score ใกล้ความจริงมากขึ้น

เรียน IELTS ที่ไหนดี?

สำหรับใครที่ไม่มั่นใจว่าจะ ติว IELTS ที่ไหนดี หรือควรเลือก คอร์ส IELTS แบบไหน สิ่งสำคัญคือดูว่า

  • มีคอร์สเรียนที่ครอบคลุมทั้ง 4 skills (Listening, Reading, Writing, Speaking)
  • มี Mock Test จริง พร้อม Feedback รายบุคคล
  • รีวิวเป็นยังไง

หลายคนเลือกเรียนกับ Interpass เพราะมี คอร์สเรียน IELTS ออนไลน์และออนไซต์ ที่สอนโดยติวเตอร์ผู้เชี่ยวชาญ เน้นเทคนิค Listening + ตะลุยข้อสอบจริง ทำให้เด็กหลายคนเพิ่ม Band Score ได้ไว และสอบติดอินเตอร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ 

คอร์สเรียน IELTS ที่ Interpass ครบ จบ ทุก Skill

Interpass ออกแบบคอร์สเรียนเพื่อเตรียมสอบ IELTS อย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่ปูพื้นฐาน ไปจนถึงเจาะลึกเทคนิค พร้อมฟีเจอร์สนับสนุนการเรียนรู้แบบจัดเต็ม ไม่ว่าน้อง ๆ จะไม่มีพื้นฐานเลย หรือมีเวลาเตรียมตัวจำกัด ก็มีคอร์สให้เลือกตามความเหมาะสม

คอร์สเรียน IELTS ที่ Interpass ครบ จบ ทุกระดับ

Interpass ออกแบบคอร์สเรียนเพื่อเตรียมสอบ IELTS อย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่ปูพื้นฐาน ไปจนถึงเจาะลึกเทคนิค พร้อมฟีเจอร์สนับสนุนการเรียนรู้แบบจัดเต็ม ไม่ว่าน้อง ๆ จะไม่มีพื้นฐานเลย หรือมีเวลาเตรียมตัวจำกัด ก็มีคอร์สให้เลือกตามความเหมาะสม

1. คอร์สพื้นฐาน Grammar & English Foundation

  • Grammar Foundation
    คอร์สปรับพื้นฐานไวยากรณ์ในเวลาเพียง 15 ชม. เน้นเนื้อหาจำเป็น เข้าใจง่าย
    🔗 ดูรายละเอียดคอร์ส
  • English Foundation
    ฝึกครบทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน 24 ชม. เหมาะกับผู้ที่ยังไม่มั่นใจทักษะภาษาอังกฤษ
    🔗 ดูรายละเอียดคอร์ส

2. IELTS All-in-One (อัปเดตใหม่ล่าสุด)

  • คอร์สเรียนที่รวม 4 ทักษะหลัก: Listening, Reading, Writing, Speaking
  • เน้นเทคนิคทำข้อสอบ พร้อมฝึกจริง
  • พิเศษ: มี E-Workbook สำหรับทำแบบฝึกหัดออนไลน์ และ ระบบ Tracking เพื่อติดตามความก้าวหน้าแบบรายบุคคล
    🔗 ดูรายละเอียดคอร์ส

3. Expert for IELTS 

  • ครอบคลุมทุกเนื้อหา พร้อมจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
  • เหมาะกับน้อง ๆ ม.ปลาย – นิสิต นักศึกษา ที่ต้องการปูพื้นฐานและเตรียมสอบอย่างจริงจัง
  • มีทั้งเรียนสดและออนไลน์ พร้อมฟีเจอร์เสริมครบ เช่น iWRITE, iSPEAK, Mock Speaking ฯลฯ

4. Express for IELTS (คอร์สเร่งรัด)

  • สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานอยู่แล้ว และต้องการเรียนแบบรวดเร็ว
  • ตัดบทเรียนพื้นฐานออก เหลือเฉพาะเทคนิคทำคะแนน
  • เหมาะกับคนทำงาน หรือผู้ที่มีเวลาน้อย ต้องการเรียนออนไลน์แบบยืดหยุ่น

คอร์สเฉพาะทาง เสริมจุดอ่อนแต่ละทักษะ

  • Writing for IELTS
    เน้นฝึก Task 1 & 2 พร้อม Feedback รายบุคคล ช่วยยกระดับคะแนนเฉพาะพาร์ทการเขียน
  • Speaking for IELTS
    ฝึกตอบคำถามจริง พร้อมเทคนิคตอบเป็นโครงสร้าง สร้างความมั่นใจก่อนสอบจริง

สถิติความสำเร็จ: นักเรียน Interpass ได้ Band 7+ 

รีวิวจากนักเรียนที่สอบผ่านจริง

“เรียนกับพี่กิ๊บ เนื้อหาแน่นดีครับ ทุก​ Skills ที่สอนได้ใช้จริงๆ เทคนิคที่แนะนำได้นำไปใช้ได้ บรรยากาศในห้องค่อนข้างเงียบๆ นิดนึง แต่ไม่ได้เครียด สงสัยส่วนไหนก็เข้าไปถามพี่กิ๊บได้เลยครับ เทคนิคแน่นมากครับ ตอนแรกก็รู้สึกว่า เรียนหนักแล้วก็เรียนยาวนิดนึงแต่ว่าพอเรียนแล้วรู้สึกว่าพี่กิ๊บเน้นเนื้อหาที่สำคัญแล้วก็ทบทวนเนื้อหาให้ครบเลยครับ

เรียนกับพี่นัน ก็บรรยากาศเฟรนด์ลีมากๆ ครับ เนื้อหาก็เข้มข้นมากครับ ได้ฝึกฝนกับพี่นันเยอะมากๆ ในการเรียนคอร์สตะลุยโจทย์ สอบถามได้ทุกเรื่องเลยครับ ฟีดแบ็กจากพี่นันดีมากๆ สามารถนำไปปรับปรุงและใช้สอบได้จริงๆ ครับ”

Digital SAT คืออะไร แตกต่างจากการสอบ SAT ธรรมดาอย่างไร? เรียนมหาลัยอินเตอร์ในไทยดียังไง สอบเข้าอินเตอร์ต้องใช้คะแนนอะไรบ้าง

Date : Sep 22, 2025

You May Like