BLOG

    Home Blog Latest เรียนมหาลัยอินเตอร์ในไทยดียังไง สอบเข้าอินเตอร์ใช้คะแนนอะไรบ้าง?

เรียนมหาลัยอินเตอร์ในไทยดียังไง สอบเข้าอินเตอร์ใช้คะแนนอะไรบ้าง?

เรียนมหาลัยอินเตอร์ในไทยดียังไง สอบเข้าอินเตอร์ต้องใช้คะแนนอะไรบ้าง

การเลือกเรียนหลักสูตรนานาชาติ หรือหลักสูตรอินเตอร์ถือเป็นอีกทางเลือกของเด็กรุ่นใหม่ เพราะเป็นหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเรียนต่อในต่างประเทศ ทำให้ช่วยพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับบัณฑิตที่จบใหม่ได้เป็นอย่างดี

ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยอินเตอร์ในประเทศไทยที่เปิดหลักสูตรนานาชาติ หรือหลักสูตรสองภาษาก็มีให้เลือกทั้งสังกัดภาครัฐ และเอกชน บทความนี้จะแนะนำวิธีการสอบเข้าคณะอินเตอร์ว่าต้องใช้คะแนนอะไรบ้าง มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ รวมถึงแนวทางการเตรียมตัวสอบ เพราะส่วนใหญ่เปิดรับก่อนในรอบที่ 1 ช่วยให้น้อง ๆ สามารถเตรียมตัวในการสอบ และมีที่เรียนได้ก่อนใครอีกด้วย

สอบเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์นิยมใช้คะแนนอะไรบ้าง

สอบเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์นิยมใช้คะแนนอะไรบ้าง

ในการสอบเข้าอินเตอร์ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ข้อสอบมาตรฐานสากล เช่น IELTS, SAT หรือ TOEFL ซึ่งในแต่ละคณะ หรือแต่ละสถานศึกษาอาจมีรายละเอียดของเกณฑ์การรับสมัครที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น น้องๆ ควรศึกษาข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัยให้ดี เพื่อให้สามารถเตรียมตัวสอบวิชาต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน 

IELTS (International English Language Testing System)

IELTS (International English Language Testing System) คือ ข้อสอบที่ใช้ประเมินการใช้ภาษาอังกฤษในทักษะต่างๆ ครอบคลุมทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เหมาะกับผู้ที่ต้องการเรียนต่อ ทำงาน หรือย้ายถิ่นฐาน ซึ่ง IELTS ถือเป็นหนึ่งในข้อสอบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยคะแนนจะมีตั้งแต่ระดับ 1-9 และข้อสอบมีทั้งหมด 4 ส่วน คือ

  • การฟัง (Listening) เวลา 30 นาที
  • การอ่าน (Reading) เวลา 60 นาที
  • การเขียน (Writing) เวลา 60 นาที
  • การพูด (Speaking) เวลา 11-14 นาที

อายุการใช้งาน

ผลสอบของ IELTS สามารถเก็บไว้ได้ 2 ปี

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

สำหรับค่าใช้จ่ายในการสอบ IELTS แต่ละรูปแบบมีรายละเอียด ดังนี้

  • IELTS Academic การสอบเชิงวิชาการ ราคา 7,100 บาท (ค่าใช้จ่ายอาจขึ้นอยู่กับแต่ละศูนย์สอบ) สอบที่ศูนย์สอบ โดยสามารถเลือกรูปแบบการสอบเป็นกระดาษ หรือคอมพิวเตอร์
  • IELTS การสอบเพื่อการอบรมทั่วไป ราคา 7,100 บาท สอบที่ศูนย์สอบ โดยสามารถเลือกรูปแบบการสอบเป็นกระดาษ หรือคอมพิวเตอร์
  • IELTS for UKVI การสอบเชิงวิชาการที่รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรให้การยอมรับ ราคา 7,710 บาท สอบที่ศูนย์สอบ โดยสามารถเลือกรูปแบบการสอบเป็นกระดาษ หรือคอมพิวเตอร์
  • IELTS for Life Skill (A1 & A2) ราคา 5,800 บาท  สอบที่ศูนย์สอบ

คะแนนขั้นต่ำ 

หลักสูตรอินเตอร์ในแต่ละคณะ และมหาวิทยาลัยจะมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน IELTS ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะจิตวิทยา (JIPP) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขั้นต่ำ 6.0
  • คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาการสื่อสารเชิงธุรกิจ (BC) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขั้นต่ำ 6.5
  • คณะอุตสาหกรรมเกษตร (AIIP) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขั้นต่ำ 5.5

TOEFL (Test of English as a Foreign Language)

TOEFL (Test of English as a Foreign Language) คือ ข้อสอบที่ใช้วัดทักษะการใช้ภาษาอังกฤษทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ในเชิงวิชาการตามมาตรฐานสหรัฐอเมริกา จึงนิยมใช้ยื่นเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย โดยแต่ละแบบมีรายละเอียด ดังนี้

  • TOEFL ITP คือ ข้อสอบรูปแบบปรนัย ที่จะใช้กระดาษในการตอบ
  • TOEFL CBT คือ การสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว แต่จะใช้การสอบรูปแบบ ​TOEFL iBT แทน
  • ​TOEFL iBT คือ การสอบผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะมี 4 ส่วน คือ Reading, Writing, Listening และ Speaking โดยใช้เวลาพาร์ทละ 30 นาที และมีคะแนนเต็ม 120 คะแนน ถือเป็นรูปแบบการสอบที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน

อายุการใช้งาน

ผลสอบของ TOEFL สามารถเก็บไว้ได้ 2 ปี

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

สำหรับค่าใช้จ่ายในการสอบ TOEFL แต่ละรูปแบบมีรายละเอียด ดังนี้

  • TOEFL ITP & iBT ราคาประมาณ 1,800 บาท

คะแนนขั้นต่ำ 

หลักสูตรอินเตอร์ในแต่ละคณะ และมหาวิทยาลัยจะมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน TOEFL ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (ISE) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนน ​TOEFL iBT ขั้นต่ำ 80
  • คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (BBA) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คะแนน TOEFL iBT ขั้นต่ำ 80
  • คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (BJM) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คะแนน TOEFL iBT ขั้นต่ำ 79

CU-TEP (Chulalongkorn University Test of English Proficiency)

CU-TEP (Chulalongkorn University Test of English Proficiency) คือ ข้อสอบที่ใช้วัดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในเชิงการศึกษา เหมาะสำหรับระดับปริญญาตรี และบัณฑิตศึกษา ซึ่งออกโดยสถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยแต่ละรูปแบบมีรายละเอียด ดังนี้

  • การสอบรอบเช้าประตูห้องสอบเปิดเวลา 08:15 น. และปิดเวลา 08:35 น. ส่วนรอบบ่ายประตูห้องสอบเปิดเวลา 12:45 น. และปิดเวลา 13:05 น. 
  • CU-TEP (PBT) มีการสอบที่ศูนย์สอบจุฬาฯ และศูนย์สอบภูมิภาค ทางศูนย์สอบจัดเตรียมเครื่องเขียนไว้ให้กับผู้เข้าสอบ
  • CU-TEP คือ ข้อสอบที่ใช้ประเมินทักษะด้านการฟัง การอ่าน และการเขียน มีคะแนนเต็ม 120 คะแนน สามารถรู้ผลหลังจากวันสอบไม่เกิน 2 สัปดาห์ ผ่านทางระบบออนไลน์
  • CU-TEP E-Testing คือ ข้อสอบที่ใช้ประเมินทักษะด้านการฟัง การอ่าน และการเขียน สำหรับการสอบการฟังมีทั้งหมด 30 ข้อ ระยะเวลาสอบ 30 นาที การสอบการอ่านมีทั้งหมด 60 ข้อ ระยะเวลาสอบ 70 นาที การสอบการเขียนมีทั้งหมด 30 ข้อ ใช้เวลาสอบ 30 นาที โดยจะทำข้อสอบผ่านคอมพิวเตอร์ สามารถรู้ผลทันทีหลังทำข้อสอบเสร็จ แต่จะไม่สามารถขอผลตรวจคะแนนซ้ำได้
  • CU-TEP & Speaking คือ ข้อสอบที่ประเมินทักษะการใช้ภาษาเช่นเดียวกับ CU-TEP แต่เพิ่มการสอบทักษะด้านการพูดมาด้วย มีคะแนนเต็ม 150 คะแนน โดยในส่วนพาร์ทการพูดจะรู้ผลคะแนนหลังจากวันสอบไม่เกิน 3 สัปดาห์ ผ่านทางระบบออนไลน์
  • CU-TEP & Speaking (E-Package) คือ ข้อสอบที่ประเมินทักษะทั้งด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ทำข้อสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มีคะแนนเต็ม 150 คะแนน โดยในส่วนพาร์ทการพูดจะรู้ผลหลังวันสอบไม่เกิน 1 สัปดาห์ ผ่านทางระบบออนไลน์

อายุการใช้งาน

ผลสอบของ CU-TEP สามารถเก็บไว้ได้ 2 ปี

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

ค่าใช้จ่ายสำหรับการสอบ ​CU-TEP รูปแบบต่างๆ มีรายละเอียด ดังนี้

  • CU-TEP ราคา 900 บาท
  • CU-TEP E-Testing ราคา 2,500 บาท
  • CU-TEP & Speaking ราคา 2,900 บาท
  • CU-TEP & Speaking (E-Package) ราคา 4,000 บาท

คะแนนขั้นต่ำ 

แม้ว่าส่วนใหญ่คะแนน CU-TEP มักใช้ยื่นเพื่อเข้าคณะอินเตอร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ CU-TEP ยังสามารถใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยอื่นๆ ได้อีกด้วย โดยจะมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน CU-TEP ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะอักษรศาสตร์ (BALAC) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนน CU-TEP ขั้นต่ำ 80
  • คณะเศรษฐศาสตร์ (EEBA) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คะแนน CU-TEP ขั้นต่ำ 70
  • คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาเพื่อการสื่อสาร (LCC) มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คะแนน CU-TEP ขั้นต่ำ 60

TU-GET (Thammasat University General English Test)

TU-GET (Thammasat University General English Test) คือ ข้อสอบที่ใช้วัดทักษะความรู้ทั่วไปในการใช้ภาษาอังกฤษ ออกแบบโดยสถาบันภาษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เหมาะสำหรับระดับปริญญาตรี และบัณฑิตศึกษา มีคะแนนเต็ม 1,000 คะแนน และใช้เวลาสอบ 3 ชั่วโมง โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียด ดังนี้

  • ส่วนที่ 1 Grammar: Error Identification & Sentence Completion
  • ส่วนที่ 2 Vocabulary: Synonym & Cloze Test
  • ส่วนที่ 3 Reading: Passages

อายุการใช้งาน

ผลสอบของ TU-GET สามารถเก็บไว้ได้ 2 ปี

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

ข้อสอบ TU-GET มีค่าธรรมเนียมในการสอบ 500 บาท

คะแนนขั้นต่ำ 

คะแนน TU-GET สามารถใช้ยื่นเพื่อศึกษาต่อในหลักสูตรอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยแต่ละหลักสูตรจะกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน TU-GET ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (BBA) คะแนน TU-GET (Paper-based) ขั้นต่ำ 550
  • คณะเศรษฐศาสตร์ (BE) คะแนน TU-GET (Paper-based) ขั้นต่ำ 550 หรือคะแนน TU-GET (CBT) ขั้นต่ำ 80
  • คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (BJM) คะแนน TU-GET ขั้นต่ำ 550

CU-AAT (Chulalongkorn University Academic Aptitude Test)

CU-AAT (Chulalongkorn University Academic Aptitude Test) คือ ข้อสอบเพื่อวัดทักษะคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ในหลักสูตรนานาชาติหรือหลักสูตรภาษาอังกฤษ โดยข้อสอบจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้

  • Verbal Section: ส่วนที่ 1 Critical Reading และส่วนที่ 2 Writing รวมจำนวน 55 ข้อ เวลาในการสอบ 70 นาที
  • Math Section: Arithmetic, Algebra, Geometry และ Problem Solving จำนวน 55 ข้อ เวลาในการสอบ 70 นาที

อายุการใช้งาน

ผลสอบของ CU-AAT สามารถเก็บไว้ได้ 2 ปี

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

ค่าใช้จ่ายในการสอบ CU-AAT มีรายละเอียด ดังนี้

  • CU-AAT ราคา 1,300 บาท โดยจะรู้ผลภายใน 2 สัปดาห์ ผ่านระบบออนไลน์
  • CU-AAT E-Testing ราคา 2,900 บาท โดยจะรู้ผลทันทีหลังสอบเสร็จ แต่จะไม่สามารถตรวจผลคะแนนซ้ำได้ 

คะแนนขั้นต่ำ 

คะแนน CU-AAT ใช้ในการยื่นเพื่อศึกษาต่อในหลักสูตรอินเตอร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยแต่ละหลักสูตรจะกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน CU-AAT ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ (BBTech) คะแนนพาร์ท Verbal ไม่ต่ำกว่า 400 และพาร์ท Math ไม่ต่ำกว่า 450
  • คณะจิตวิทยา สาขาวิทยาศาสตร์จิตวิทยา (JIPP) คะแนนรวมไม่ต่ำกว่า 1030
  • คณะอักษรศาสตร์ สาขาภาษาและวัฒนธรรม (BALAC) คะแนนพาร์ท Verbal ไม่ต่ำกว่า 480

CU-ATS (Chulalongkorn University Aptitude Test for Science)

CU-ATS (Chulalongkorn University Aptitude Test for Science) คือ ข้อสอบที่ใช้วัดทักษะในวิชาเคมี และฟิสิกส์ สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี หลักสูตรนานาชาติของคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ ข้อสอบแบบปรนัย คะแนนเต็ม 1600 คะแนน โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้

  • Physics Section: จำนวน 30 ข้อ เวลาในการทำข้อสอบ 1 ชั่วโมง
  • Chemistry Section: จำนวน 55 ข้อ เวลาในการทำข้อสอบ 1 ชั่วโมง

อายุการใช้งาน

ผลสอบของ CU-ATS สามารถเก็บไว้ได้ 2 ปี

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

ค่าใช้จ่ายในการสอบ CU-ATS มีรายละเอียด ดังนี้

  • CU-ATS ราคา 1,000 บาท โดยจะรู้ผลภายใน 2 สัปดาห์ ผ่านระบบออนไลน์
  • CU-ATS E-Testing ราคา 2,600 บาท โดยจะรู้ผลทันทีหลังสอบเสร็จ แต่จะไม่สามารถตรวจผลคะแนนซ้ำได้ 

คะแนนขั้นต่ำ 

คะแนน CU-ATS นิยมใช้ในการยื่นเพื่อศึกษาต่อในหลักสูตรอินเตอร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยแต่ละหลักสูตรจะกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน CU-AST ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะวิทยาศาสตร์ สาขาเคมีประยุกต์ (BSAC) คะแนน CU-AST คะแนนรวมวิชาเคมี ไม่ต่ำกว่า 380 
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (ISE) คะแนนรวมวิชาเคมีและฟิสิกส์ ไม่ต่ำกว่า 800 คะแนน
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชากระบวนการวิศวกรรมเคมีและ (ChPE) คะแนนรวมวิชาเคมีและฟิสิกส์ ไม่ต่ำกว่า 800 คะแนน

SAT (Scholastic Aptitude Test)

SAT (Scholastic Aptitude Test) คือ ข้อสอบมาตรฐานที่ใช้วัดทักษะคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โดยสามารถใช้ยื่นเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีทั้งหลักสูตรอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • Reading & Writing มี 2 ส่วน (Module) ส่วนละ 27 ข้อ รวมทั้งหมด 54 ข้อ ใช้เวลาทำ 1 ชั่วโมง 4 นาที
  • Math มี 2 ส่วน (Module) ส่วนละ 22 ข้อ รวมทั้งหมด 44 ข้อ ใช้เวลาทำ 1 ชั่วโมง 10 นาที

อายุการใช้งาน

ผลสอบของ SAT สามารถเก็บไว้ได้ 2 ปี

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

ค่าใช้จ่ายในการสอบ SAT มีรายละเอียด ดังนี้

  • ค่าสมัครสอบประมาณ 1,830 บาท
  • ค่าธรรมเนียมสอบต่างประเทศประมาณ 1,760 บาท

คะแนนขั้นต่ำ 

หลักสูตรอินเตอร์ในแต่ละคณะ และมหาวิทยาลัยจะมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน SAT ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (BBA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนนรวม SAT ทั้งพาร์ท Math และ Verbal ไม่ต่ำกว่า 1270 คะแนน
  • คณะวารสารศาสตร์ (BJM) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คะแนน SAT พาร์ท Verbal ไม่ต่ำกว่า 400 คะแนน
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (IUP) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คะแนน SAT พาร์ท Math ไม่ต่ำกว่า 600 คะแนน

GSAT (General Scholastic Aptitude Test)

GSAT (General Scholastic Aptitude Test) คือ ข้อสอบที่ใช้วัดความถนัดทางวิชาการทั่วไป ในวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี หรือสูงกว่าในหลักสูตรนานาชาติ โดยเป็นข้อสอบที่จัดตั้งโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งข้อสอบจะเป็นรูปแบบปรนัย 4 ตัวเลือก และแบ่งเป็น 4 พาร์ท ดังนี้

  • ส่วนที่ 1 การอ่าน จำนวน 50 ข้อ เวลาในการสอบ 65 นาที
  • ส่วนที่ 2 การเขียนและภาษา จำนวน 40 ข้อ เวลาในการสอบ 35 นาที
  • ส่วนที่ 3 คณิตศาสตร์ไม่มีเครื่องคิดเลข จำนวน 20 ข้อ เวลาในการสอบ 25 นาที
  • ส่วนที่ 4 คณิตศาสตร์พร้อมเครื่องคิดเลข จำนวน 40 ข้อ เวลาในการสอบ 55 นาที

อายุการใช้งาน

ผลสอบของ GSAT สามารถเก็บไว้ได้ 2 ปี

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

ค่าธรรมเนียมในการสอบ GSAT ราคา 1,800 บาท

คะแนนขั้นต่ำ 

หลักสูตรอินเตอร์ในแต่ละคณะและมหาวิทยาลัยจะมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน GSAT ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (BBA) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คะแนนรวมไม่ต่ำกว่า 1200 คะแนน โดยพาร์ท Math ไม่ต่ำกว่า 600 คะแนน และพาร์ท Reading and Writing ไม่ต่ำกว่า 460 คะแนน
  • คณะมนุษยศาสตร์ (HU) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คะแนนรวมไม่ต่ำกว่า 400 
  • คณะเศรษฐศาสตร์ (EEBA) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คะแนนพาร์ท Math ไม่ต่ำกว่า 450

ACT (American College Testing Assessment)

ACT (American College Testing Assessment) คือ ข้อสอบมาตรฐานจากประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยใช้ประเมินทักษะการใช้เหตุผล การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา ตลอดจนทักษะด้านการสื่อสาร สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา มีคะแนนเต็ม 36 คะแนน โดยจะมีรายละเอียด ดังนี้

  • ทักษะทางภาษาอังกฤษ จำนวน 75 ข้อ ปรนัย 4 ตัวเลือก เวลาในการสอบ 45 นาที
  • ทักษะทางคณิตศาสตร์ จำนวน 60 ข้อ ปรนัย 5 ตัวเลือก เวลาในการสอบ 60 นาที
  • ทักษะการอ่าน จำนวน 60 ข้อ ปรนัย 4 ตัวเลือก เวลาในการสอบ 35 นาที
  • ทักษะการใช้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ จำนวน 40 ข้อ ปรนัย 4 ตัวเลือก เวลาในการสอบ 40 นาที
  • ทักษะด้านการเขียน จำนวน 1 ข้อ เวลาในการสอบ 40 นาที

อายุการใช้งาน

คะแนนสอบ ACT ไม่มีวันหมดอายุ

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

ค่าใช้จ่ายในการสอบ ACT มีรายละเอียด ดังนี้

  • ค่าสมัครสอบประมาณ 1,800 บาท
  • ค่าธรรมเนียมสอบต่างประเทศประมาณ 1,150 บาท

คะแนนขั้นต่ำ 

หลักสูตรอินเตอร์ในแต่ละคณะและมหาวิทยาลัยจะมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน ACT ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (ISE) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนนพาร์ทวิทยาศาสตร์ไม่ต่ำกว่า 25 และพาร์ทคณิตศาสตร์ไม่ต่ำกว่า 26
  • สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คะแนนพาร์ทวิทยาศาสตร์ไม่ต่ำกว่า 20
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (SIIE) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คะแนนพาร์ทวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ไม่ต่ำกว่า 19

A-Level (Advanced Level General Certificate of Secondary Education)

A-Level (Advanced Level General Certificate of Secondary Education) คือ การทดสอบความรู้ทางวิชาการสำหรับนักเรียนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ตามระบบการศึกษาของประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเทียบเท่ากับวุฒิการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 ของประเทศไทย สำหรับการใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในหลักสูตรอินเตอร์ จำเป็นต้องเลือกสอบรายวิชาตามที่คณะนั้นๆ กำหนด โดยข้อสอบ A-Level จะมีรายวิชาประมาณ 55 วิชา สามารถแแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มวิชา ดังนี้

  • กลุ่มภาษา (Language)
  • กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Humanities & Social Science)
  • กลุ่มวิทยาศาสตร์ (Science)
  • กลุ่มคณิตศาสตร์ (Mathematics)
  • กลุ่มทักษะวิชาชีพ (Creative, Technical and Vocational)

อายุการใช้งาน

คะแนน A-Level ไม่มีวันหมดอายุ

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

ค่าธรรมเนียมในการสอบ A-Level จะอยู่ระหว่าง 6,000-9,000 บาทต่อรายวิชา

คะแนนขั้นต่ำ 

หลักสูตรอินเตอร์ในแต่ละคณะและมหาวิทยาลัยจะมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน A-Level ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะเศรษฐศาสตร์ (EBA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนน A-Level (Math) ไม่ต่ำกว่า B
  • คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ (CommDe) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนน A-Level (Math) ไม่ต่ำกว่า B

IB (International Baccalaureate Program)

IB (International Baccalaureate Program) คือ หลักสูตรการเรียนการสอนที่บูรณาการจากระบบการศึกษาทั่วโลก เพื่อให้นักเขียนสามารถสมัครเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ในระดับนานาชาติ โดยจะใช้มาตรฐานเดียวกันหมด ซึ่งการสอบของ IB มี 2 ระดับ คือ ​Standard Level (SL) และ ​Higher Level (HL) โดย IB Diploma Program ที่สามารถใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยได้ จะประกอบไปด้วย 6 กลุ่ม รวมกว่า 30 วิชา คือ

  • Studies in Language and Literature (Language A)
  • Language Acquisition (Language B) เช่น French, Spanish, German
  • Individuals and Societies เช่น Philosophy, Economics, and Business and management
  • Sciences เช่น Physics, Chemistry, and Biology
  • Mathematics เช่น Mathematics (SL, HL), Further Mathematics
  • The Arts เช่น Visual arts, Film, Music, Dance, and Theatre

สำหรับคะแนนแต่ละวิชาจะอยู่ที่ระดับ 1-7 โดยมีคะแนนเต็มรวม 45 คะแนน ซึ่งเพิ่มมาจากส่วน Extended Essay และ ​Theory of Knowledge

อายุการใช้งาน

ผลสอบของ IB สามารถเก็บไว้ได้ 5 ปี

ค่าใช้จ่ายในการสอบ

โดยทั่วไปการจะสอบ IB ได้จำเป็นต้องเรียนในหลักสูตร IB เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งค่าใช้จ่ายในหลักสูตรจะประมาณ 11,650 USD ต่อปี หรือ 403,265 บาทต่อปี 

คะแนนขั้นต่ำ 

หลักสูตรอินเตอร์ในแต่ละคณะและมหาวิทยาลัยจะมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน IB ที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • คณะเศรษฐศาสตร์ (EBA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนน IB (Math) ไม่ต่ำกว่า 6
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (ISE) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คะแนน IB (Math) และ IB (Physics & Chemistry) ไม่ต่ำกว่า 6
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรวิศวกรรมการบินและอวกาศ บริหารธุรกิจ (IDDP) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คะแนน IB (Math) หรือ IB Diploma Physics HL ไม่ต่ำกว่า 5
เรียนอินเตอร์ต่างจากเรียนภาคปกติอย่างไร

เรียนอินเตอร์ต่างจากเรียนภาคปกติอย่างไร

ความแตกต่างของการเรียนหลักสูตรอินเตอร์ และการเรียนภาคปกติ มีดังนี้

  • เน้นการสื่อสารภาษาอังกฤษ การเรียนการสอนในหลักสูตรอินเตอร์จะเน้นการใช้ทักษะภาษาอังกฤษเป็นหลัก รวมถึงยังมีนักเรียนหรืออาจารย์ผู้สอนที่เป็นชาวต่างชาติอีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้น้องๆ สามารถพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี
  • มีที่เรียนก่อนใคร ข้อสอบมาตรฐานที่ใช้ยื่นเข้าหลักสูตรอินเตอร์ เช่น IELTS, CU-TEP หรือ ​SAT จะมีเปิดสอบเป็นระยะ และคะแนนสามารถเก็บไว้ได้ 2 ปี ทำให้น้องๆ สามารถเตรียมตัวได้ตั้งแต่มัธยมปลาย นอกจากนี้ หลักสูตรอินเตอร์ส่วนใหญ่จะเปิดรับสมัครก่อนการสอบคัดเลือกกลาง (TCAS) รอบที่ 1 ซึ่งน้อง ๆ จะได้มีที่เรียนก่อนใครอีกด้วย
  • เรียนควบปริญญาสองใบได้ หลักสูตรนานาชาติในมหาวิทยาลัยบางแห่ง ได้ออกแบบให้มีความพิเศษ หรือร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่น ได้ปริญญาตรี 2 สาขาหลังเรียนจบ หรือเป็นการเรียนควบทั้งปริญญาตรี และปริญญาโท ทำให้มีค่าเทอมที่สูงกว่าหลักสูตรปกติ แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าการไปเรียนในต่างแดนที่จะมีค่าที่พัก ค่าเดินทาง หรือค่าครองชีพเพิ่มขึ้นมา

ค่าเทอมในการเรียนอินเตอร์ประมาณเท่าไหร่

ค่าเทอมในการเรียนอินเตอร์ หรือหลักสูตรนานาชาติในประเทศไทยจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65,000-110,000 บาท เนื่องจากใช้การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และจำเป็นต้องจ้างอาจารย์ชาวต่างชาติที่มีความรู้เฉพาะทางมาสอนร่วมด้วย

สังคมและสิ่งแวดล้อมของการเรียนอินเตอร์

สังคมและสิ่งแวดล้อมของการเรียนอินเตอร์

เนื่องจากนักเรียนและอาจารย์ส่วนใหญ่ในหลักสูตรอินเตอร์จะเป็นชาวต่างชาติ หรือเป็นคนไทยที่โตในต่างแดน การเรียนในหลักสูตรนี้จะทำให้น้องๆ ได้พบเจอกับความหลากหลายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ด้านสำเนียง หรือด้านวัฒนธรรม ซึ่งจะช่วยให้น้อง ๆ สามารถปรับตัวและเข้าใจความหลากหลายได้ดีมากยิ่งขึ้น ก่อนเข้าสู่วัยทำงานจริง

สามารถไปเรียนต่อต่างประเทศได้หรือไม่

หากในอนาคตหลังเรียนจบหลักสูตรอินเตอร์ แล้วน้องๆ อยากไปเรียนต่อในต่างประเทศถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะการเรียนในหลักสูตรนี้ ทำให้น้อง ๆ ได้อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมที่มีความหลากหลาย และพัฒนาทั้งทักษะการใช้ภาษา ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบแข่งขันเพื่อขอทุนการศึกษา นอกจากนี้ ยังมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่มีโครงการเรียนรวมทั้งไทย และต่างประเทศ หรือหลักสูตร Dual Degree อีกด้วย เช่น

  • หลักสูตร Twinning Engineering Programs (TEP) ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • หลักสูตร Politics and Global Studies (PGS) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • หลักสูตร International College of Digital Innovation (ICDI) ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ไม่เก่งอังกฤษ เรียนอินเตอร์ได้ไหม

ไม่เก่งอังกฤษ เรียนอินเตอร์ได้ไหม

เนื่องจากการเรียนการสอนหลักสูตรอินเตอร์เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด การมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ดีทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนจะช่วยในการเรียนเป็นอย่างมาก แต่สำหรับน้อง ๆ ที่ไม่มั่นใจในทักษะภาษาอังกฤษของตัวเอง หรือกังวลว่าตัวเองไม่เก่งภาษาอังกฤษ จำเป็นต้องขยันและเตรียมตัวให้มากขึ้น เช่น 

  • ใช้แอปพลิเคชันเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ ฝึกเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยในการเรียนรู้ ได้ทั้งทักษะการอ่าน การฟัง และการพูด
  • อ่านภาษาอังกฤษจากศัพท์รอบตัว หากเจอศัพท์ที่ไม่เคยรู้จักก็จดจำเพื่อให้มีศัพท์ใหม่ในคลัง เมื่อใช้ภาษาอังกฤษจะได้สามารถนำศัพท์เหล่านี้ไปใช้ได้
  • อ่านเรื่องสั้นภาษาอังกฤษ โดยเลือกหนังสือหรือเรื่องสั้นที่เหมาะสมกับระดับความเข้าใจของตนเอง
  • การแปลหนังสือ หรือเอกสารสำหรับเรียนล่วงหน้า 
  • เสริมทักษะด้วยการเสพสื่อภาษาอังกฤษ เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ ดูภาพยนตร์ Soundtrack โดยปิดคำบรรยาย หรือฟังพอดแคสต์
อยากเรียนอินเตอร์ต้องเตรียมตัวอย่างไร

อยากเรียนอินเตอร์ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ก่อนสอบหรือเลือกคณะอินเตอร์ในมหาวิทยาลัย น้องๆ จำเป็นต้องตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองว่าตรงกับเกณฑ์การคัดเลือกหรือไม่ และจำเป็นต้องใช้คะแนนอะไรบ้าง เพื่อที่จะสอบได้อย่างครบถ้วน การเตรียมตัวในการสอบ นอกจากหมั่นท่องศัพท์ และหัดทำข้อสอบเก่า ๆ แล้ว การลงเรียนคอร์สติวเข้มกับ Interpass ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ดี เพราะมีพี่ ๆ ติวเตอร์ที่ชำนาญ และมีวิชาเปิดสอนที่หลากหลาย เช่น IELTS, SAT และ CU-TEP รวมถึงคอร์สสำหรับ International Program ที่รวบรวมเทคนิคดีๆ ในการทำข้อสอบ พร้อมตัวช่วยอัปสกิลภาษาอังกฤษอย่างรอบด้าน และเคล็ดลับการฝึกฝนเพื่อให้ได้คะแนนที่ต้องการ

สรุป

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยในไทยที่เปิดสอนหลักสูตรอินเตอร์นั้น มีให้เลือกทั้งของภาครัฐ และเอกชน รวมถึงยังมีหลักสูตรคณะอินเตอร์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หรือคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ซึ่งการเรียนในคณะอินเตอร์ก็จะช่วยในการพัฒนาทักษะด้านภาษาเป็นอย่างดี โดยน้องๆ สามารถเลือกได้ตามความชอบและความถนัดได้เลย สำหรับน้องๆ ที่อยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ จำเป็นต้องตรวจสอบเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยว่าใช้คะแนนอะไรบ้าง เช่น SAT, IELTS, CU-TEP หรือ TU-GET เพื่อให้สามารถเตรียมตัวได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และไม่พลาดในการสอบเข้าคณะอินเตอร์ในฝันนั่นเอง

รวม 10 ทุนเรียนหมอต่างประเทศ DENT – CU ประกาศ Admissions Requirements

Date : Jul 17, 2023

You May Like