IELTS หรือชื่อเต็มๆ ว่า International English Language Testing System ข้อสอบ IELTS นั้น เป็นข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ข้อสอบ IELTS มีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้ในการเรียน การทำงาน หรือการย้ายถิ่นฐาน โดยการสอบชนิดนี้ถือว่าเป็นการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ได้มาตรฐานระดับสากล เป็นที่ยอมรับจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลก ส่วนใครที่อยากไปทำงานหรือเรียนต่อยังสหราชอาณาจักร ก็ต้องสอบ IELTS for UKVI ด้วย เพราะว่าเมื่อยื่นเรื่องทำวีซ่า น้องๆ ก็ต้องแสดงให้เห็นว่า เรามีความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดหรือไม่ น้องๆ คงพอรู้จักว่า IELTS คืออะไรคร่าวๆ ไปแล้ว ทีนี้มาดูกันแบบละเอียดว่า IELTS มีกี่แบบ และจะสอบ IELTS แบบไหนดี
IELTS มีกี่แบบ มีรูปแบบการสอบอย่างไรบ้าง
ใครอยากรู้ว่า IELTS มีกี่แบบและมีกี่รูปแบบบ้าง ยกมือขึ้น เชื่อว่าน้องๆ คงอยากรู้แน่ๆ ใช่ไหมล่ะ? มา เดี๋ยวพี่ๆ InterPass จะอธิบายให้ฟัง
การสอบ IELTS ก็คือการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ประกอบไปด้วยการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยสามารถแบ่งการสอบออกเป็น 2 แบบ หลักๆ คือ

IELTS Academic
การสอบ IELTS Academic คือ การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่จะเรียนต่อคณะอินเตอร์ในไทย หรือต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศในระดับปริญญาขึ้นไป รวมถึงคนที่จะไปทำงานในต่างประเทศ และเป็นงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษ ค่าสมัครสอบอยู่ที่ 7,100 บาท ลักษณะข้อสอบ IELTS Academic นี้จะมีความเป็นวิชาการ โดยมีรูปแบบการสอบ ดังนี้
- การฟัง (Listening)
ใช้เวลาในการสอบ 30+10 นาที เพื่อเขียนคำตอบ เป็นการตอบคำถามแบบเติมคำตอบ/ตอบคำถาม จากบทบรรยายและบทสนทนา ทั้งหมด 4 ชุด
- การอ่าน (Reading) ใช้เวลาในการสอบ 60 นาที ประกอบไปด้วยบทความยาว 3 บทความ จากหนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร
- การเขียน (Writing)
ใช้เวลาในการสอบ 60 นาที ข้อสอบส่วนแรกคือการสรุปบรรยาย อธิบายตาราง กราฟ แผนภูมิ หรือแผนผัง ไม่ต่ำกว่า 150 คำ ส่วนที่ 2 เขียนเรียงความตามหัวข้อที่กำหนด ไม่ต่ำกว่า 250 คำ
- การพูด (Speaking)
ใช้เวลาในการสอบ 11-14 นาที ใช้วิธีการสอบสัมภาษณ์ โดยเป็นการตอบคำถามจากคำถามสั้นๆ และการบรรยายตามหัวข้อที่กำหนด

IELTS General Training
IELTS General Training คือ การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่เหมาะกับคนที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศในระดับที่ต่ำกว่าปริญญาตรี สมัครงานในต่างประเทศ หรือใครที่ต้องการขอวีซ่าเพื่อย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศแคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ค่าสมัครสอบอยู่ที่ 7,100 บาท ข้อสอบตัวนี้จะมีความง่ายกว่า IELTS Academic โดยจะเป็นการวัดความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษระดับพื้นฐานที่ใช้ในชีวิตประจำวัน รูปแบบข้อสอบจะไม่ต่างกับ IELTS Academic มากนัก รูปแบบการสอบมีดังนี้
- การฟัง (Listening)
ใช้เวลาในการสอบ 30+10 นาที เพื่อเขียนคำตอบ เป็นการตอบคำถามแบบเติมคำตอบ/ตอบคำถาม จากบทบรรยายและบทสนทนา ทั้งหมด 4 ชุด
- การอ่าน (Reading)
ใช้เวลาในการสอบ 60 นาที ประกอบไปด้วยบทความสั้นจำนวน 2 บทความ เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป บทความยาว 1 บทความ จากหนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร
- การเขียน (Writing)
ใช้เวลาในการสอบ 60 นาที ข้อสอบส่วนแรกคือการเขียนจดหมายในหัวข้อที่กำหนด อย่างน้อย 150 คำ ส่วนที่ 2 เขียนเรียงความตามหัวข้อที่กำหนด ไม่ต่ำกว่า 250 คำ
- การพูด (Speaking)
ใช้เวลาในการสอบ 11-14 นาที ใช้วิธีการสอบสัมภาษณ์ โดยเป็นการตอบคำถามจากคำถามสั้นๆ และการบรรยายตามหัวข้อที่กำหนด
ต้องเลือกสอบ IELTS แบบไหนดี ให้เหมาะกับการใช้งาน
การสอบ IELTS มีรูปแบบหลักๆ 2 รูปแบบอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่ในการสอบ IELTSก็มีจุดประสงค์ในการใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้มีรายละเอียดอื่นๆ ที่น้องๆ ต้องรู้ไว้ จะได้เลือกสอบได้ถูกต้องตามการใช้งาน คราวนี้มาดูกันดีกว่าว่า เลือกสอบ IELTS แบบไหนดี ให้เหมาะกับการงาน

IELTS สำหรับนักเรียน นักศึกษา
สำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการศึกษาต่อในสถาบันต่างๆ ในระดับปริญญาขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษาในไทยหรือต่างประเทศ หากทางสถาบันมีเงื่อนไขการสมัครที่กล่าวไว้ว่าให้สอบ IELTS ก็ต้องสอบ แต่ว่าก็ต้องดูด้วยว่าสถาบันนั้นต้องการคะแนน IELTS ขั้นต่ำเท่าไร
ส่วนตัวที่น้องๆ จะต้องเลือกสมัครสอบเพื่อนเรียนต่อก็คือ IELTS Academic ขอยกตัวอย่างเช่น ในประเทศอังกฤษ เกณฑ์ขั้นต่ำที่บางมหาวิทยาลัยในอังกฤษจะรับก็คือ 5.5 คะแนน แต่ก็มีเงื่อนไขที่ว่าน้องๆ จะต้องเรียน Pre-sessional Course เพื่อช่วยดึงให้คะแนนน้องๆ ถึงเกณฑ์ โดยส่วนมากมหาวิทยาลัยจะกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้ที่ 6.5 คะแนน และบางที่ที่เป็นมหาวิทยาลัยระดับต้นๆ ของประเทศหรือของโลก ก็อาจจะรับคะแนน 7.0 คะแนนขึ้นไป ซึ่งตรงนี้ น้องๆ ก็ต้องไปตรวจสอบกับสถาบันนั้นๆ ให้ดี จะได้ไม่พลาดโอกาส นอกจากนี้แต่ละประเทศก็ยังมีเกณฑ์การรับที่มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไป ดังนั้น น้องๆ ก็ต้องอย่าลืมศึกษาในส่วนนี้ไว้ด้วย
ส่วนนักเรียน นักศึกษาที่มีความประสงค์จะเรียนต่อในระดับที่ต่ำกว่าปริญญาก็ต้องสอบ IELTS General Training ซึ่งจะมีความเป็นวิชาการน้อยกว่า IELTS Academic ระดับคะแนนก็อยู่ที่การพิจารณาของ สถาบันที่น้องๆ ได้สมัครและยื่นคะแนนสอบไป ว่าเห็นว่าน้องๆ มีคุณสมบัติพอไหมที่จะเข้าเรียน

IELTS สำหรับผู้ที่ทำงานหรือย้านถิ่นฐาน
เชื่อว่านอกจากความสนใจที่จะไปเรียนต่อในต่างประเทศแล้ว น้องๆ หลายคน คงมีความฝันที่อยากจะไปทำงานที่ต่างประเทศหรือโยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่อาศัยที่ประเทศต่างๆ มาดูกันว่าการสอบ IELTS แบบไหนที่จะตอบโจทย์ในเรื่องนี้บ้าง
Regular General Training และ UKVI General Training
IELTS General Training นอกจากจะใช้ในการสมัครเรียนแล้ว ยังสามารถใช้ในการทำงานและย้ายถิ่นฐานได้อีกด้วย คะแนนที่ต้องได้นั้นขึ้นอยู่กับประเภทวีซ่าที่ขอ อย่างเช่นใน UK สำหรับวีซ่า Tier I ต้องได้คะแนน 7.0 คะแนนขึ้นไป ส่วน UKVI General Training (ค่าสอบ 7,710 บาท) ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำงาน เรียนต่อและย้ายถิ่นฐาน UKVI General Training เหมือนกับ IELTS General Training ทุกประการ แต่ข้อแตกต่างก็คือ UKVI General Training ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยในสหราชอาณาจักร
UKVI Life Skill
UKVI Life Skill หรือ IELTS Life Skills มีค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบอยู่ที่ 5,800 บาท UKVI Life Skill เป็นการสอบเพื่อขอวีซ่า UK สำหรับผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐาน โดยรัฐบาลของ UK จะเป็นผู้พิจารณาคะแนนสอบตรงนี้ หลายๆ คนก็ยังไม่รู้ว่า UKVI Life Skill มีอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะ UKVI Life Skill เป็นรูปแบบการสอบ IELTS ที่เพิ่งมีมาได้ไม่นาน การสอบก็มีเพียงแค่ การสอบพูดและสอบฟังเท่านั้น ข้อสอบแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ คือ
- A1 (Beginner) สำหรับผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยกับญาติพี่น้อง หรือคู่ครองที่เป็นพลเมืองที่อาศัยใน UK ถาวร
- B1 (intermediate / lower level independent language user) สำหรับผู้ที่ต้องการได้รับวีซ่าและการอนุญาตให้ย้ายถิ่นฐานเพื่ออาศัยอยู่อาศัยใน UK แบบไม่มีกำหนดหรือต้องการเป็นพลเมืองของ UK เกณฑ์การวัดผลเป็นแบบ ผ่าน และ ไม่ผ่าน

สรุปทิ้งท้าย IELTS แต่ละรูปแบบเหมือนและต่างกันอย่างไร
จะเห็นได้ว่าการสอบ IELTS มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความประสงค์ในการใช้งานของแต่ละบุคคล เรามาสรุปชัดๆ กันอีกสักทีดีกว่าว่า IELTS แต่ละรูปแบบมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
IELTS Academic กับ General training ต่างกันอย่างไร
IELTS Academic กับ IELTS General training มีรูปแบบการสอบที่เหมือนกัน คือเป็นการวัดทักษะภาษาอังกฤษที่ประกอบไปการสอบทั้งสิ้น 4 ทักษะ ซึ่งก็คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ระยะเวลาในการทำข้อสอบก็เหมือนกัน และราคาค่าสมัครสอบก็เท่ากันอีกด้วย แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ตัวข้อสอบ ซึ่งมีความยากง่ายต่างกัน IELTS Academic จะมีความยากกว่าเล็กน้อย เพราะมีความเป็นวิชาการมากกว่า ใช้ในการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีขึ้นไปหรือผู้ที่ต้องการทำงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษ ส่วน IELTS General training จะเป็นภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน เน้นใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน ใช้ศึกษาต่อในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ทำงานในต่างประเทศ และการย้ายถิ่นฐาน
หากน้องๆ คนไหนที่ตั้งใจจะไปสอบ IELTS และต้องการที่จะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนสอบเพื่อที่จะได้ไม่พลาดคะแนนสวยๆ เพื่อนำไปใช้เรียนต่อ ทำงาน หรือย้ายถิ่นฐาน แนะนำว่าให้เลือกลงคอร์ส IELTS All-in-One กับทาง Interpass เพราะคอร์สนี้ครอบคลุมการสอบ IELTS ทั้ง 4 ทักษะ ตอบโจทย์การสอบ IELTS แบบครบครันในคอร์สเดียว
UKVI Life Skill
UKVI Life Skill แตกต่างกับ IELTS Academic และ General training ตรงที่รูปแบบการสอบที่มีการวัดระดับภาษาอังกฤษเพียงแค่ 2 ทักษะเท่านั้น ซึ่งก็คือ การฟังและการพูด ค่าสอบจะถูกกว่าสองตัวแรกและนอกจากนี้เกณฑ์การให้คะแนนก็จะไม่ใช่ 0-9 คะแนน เหมือนกับ IELTS Academic และ General training แต่เป็นการบอกว่าผู้สอบ ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน นั่นเอง ข้อสอบสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ ได้แก่ A1 (Beginner) และ B1 (Intermediate / Lower level independent language user) และ UKVI Life Skill มีจุดประสงค์การสอบเพื่อนำไปยื่นขอวีซ่าย้ายถิ่นฐานไปยังสหราชอาณาจักร
หลายๆ คนคงได้คำตอบกันไปแล้วว่า IELTS มีกี่แบบ และต้องเลือก IELTS แบบไหนดีเพื่อให้เหมาะกับรูปแบบในการใช้งาน สำหรับ IELTS General Training และ IELTS Academic คือข้อสอบวัดความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษซึ่งจะทดสอบครบทั้ง 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน แต่ข้อสอบแต่ละประเภทจะใช้ต่างกันออกไป เช่น IELTS Academic มักจะใช้ยื่นเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีขึ้นไป ส่วนข้อสอบ IELTS General Training มักจะใช้ยื่นในการศึกษาต่อที่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี นอกจากนี้ยังมี IELTS UKVI ซึ่งเป็นรูปแบบการสอบที่ไม่ได้มีเนื้อหาแตกต่างจาก IELTS ปกติ แต่จะได้รับรองในสหราชอาณาจักร สำหรับใครที่ต้องการเข้าศึกษาในประเทศอังกฤษต้องดูข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัยให้ดีว่าให้เลือกสอบแบบใด