BLOG

    Home Blog GED ระบบการเรียนแนวใหม่ “โฮมสคูล” เพิ่มอิสระในการเรียนรู้ให้เด็กๆ

ระบบการเรียนแนวใหม่ “โฮมสคูล” เพิ่มอิสระในการเรียนรู้ให้เด็กๆ

"โฮมสคูล" การศึกษาแนวใหม่ ด้วยการออกแบบหลักสูตรเอง

ในช่วงที่สถานการณ์โควิดระบาดหนัก ทำให้หลายโรงเรียนได้หันมาสอนในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น จนหลายปีที่ผ่านมา น้องๆ จำเป็นที่จะต้องเรียนที่บ้าน ทำให้ผู้ปกครองหลายท่านเริ่มหันมาสนใจและศึกษาข้อมูลการเรียนการสอนที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศ คือ การเรียนแบบโฮมสคูล (Homeschool) หรือการเรียนจากที่บ้าน เช่นเดียวทาง Interpass ที่เล็งเห็นความสำคัญของการเรียนแบบ Homeschooling เช่นกัน

แต่ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ปกครองและน้องๆ ได้เข้าใจถึงคอนเซปต์และได้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นว่า การเรียน Homeschooling คืออะไรและเรียนแบบไหนกัน บทความนี้จึงมาแนะนำขั้นตอนหรือวิธีต่างๆ ในการทำเรื่องขอเปิดการเรียนการสอนจากที่บ้าน และตอบทุกคำถามว่า การเรียนในลักษณะนี้จะสามารถขอเทียบวุฒิได้หรือไม่? หากพร้อมแล้วเราก็ไปหาคำตอบกันเลย!

Homeschooling คืออะไร?

Homeschooling คืออะไร?

Homeschooling คือ ระบบการศึกษาแนวใหม่ที่เรียนจากที่บ้าน และเป็นตัวผลักดันให้เด็กๆ ได้โชว์ศักยภาพ แสดงความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่มีข้อจำกัด ด้วยการออกแบบหรือเลือกซื้อหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของเด็กๆ ช่วยเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ 

ทั้งนี้ การเรียน Homeschool ยังคงเป็นเทรนด์ที่มาแรงในปัจจุบัน และคาดว่าจะมีความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะด้วยสถานการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น เช่น โรคระบาดโควิดที่ทำให้นักเรียนต้องเรียนออนไลน์มากขึ้น ทำให้ผู้ปกครองเริ่มเล็งเห็นว่าไม่จำเป็นต้องส่งเด็กๆ เข้าไปเรียนในระบบที่อาจไม่เหมาะสมกับตัวเอง เป็นต้น ซึ่งในทางกฏหมายตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กล่าวไว้ว่า ครอบครัว พ่อแม่หรือผู้ดูแล สามารถออกแบบหรือจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่เด็กเองได้ โดยที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐ หรือเอกชน

ทำไม Homeschool ถึงได้รับความสนใจ

ทำไม Homeschool ถึงได้รับความสนใจ

ข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างการเรียนในระบบและการเรียนแบบโฮมสคูล คือ ผู้ปกครองสามารถออกแบบหลักสูตรตามความเหมาะสมได้ แต่เมื่อลองเปรียบเทียบการเรียนการสอนในโรงเรียนตามปกติ ที่นักเรียนทุกคนจะต้องเรียนวิชาเดียวกันทั้งหมด และด้วยข้อจำกัดของเด็กในห้องที่มีความสามารถ ความคิด ความถนัดและศักยภาพที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การเรียนรู้หรือการรับรู้ของเด็กแต่ละคนทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

แต่การเรียนโฮมสคูลจะเน้นที่การเรียนแบบตัวต่อตัว ซึ่งอาจจะเป็นผู้ปกครองเองที่เป็นคนสอน หรืออาจจะเป็นติวเตอร์ที่เข้ามาช่วยสอน ทำให้พ่อแม่หรือติวเตอร์เองสามารถประเมินได้ว่า ความเข้าใจในวิชาที่เด็กๆ กำลังเรียนอยู่นั้นเป็นอย่างไร และทำการปรับปรุงรูปแบบการสอนให้เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เด็กๆ สามารถใช้เวลาในการเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองชอบ หรือตัวเองมีความถนัด ส่งผลให้เด็กเหล่านี้สามารถค้นพบสิ่งที่ตัวชอบได้อย่างรวดเร็ว และมีความรู้ความเข้าในสิ่งที่ตัวเองเรียนอย่างแท้จริง

 ข้อควรระวังในการทำโฮมสคูล

ข้อควรระวังในการทำโฮมสคูล

ใช่ว่าการทำโฮมสคูลจะมีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว เพราะแน่นอนว่ายังมีเรื่องข้อจำกัด และสิ่งที่ผู้ปกครองเองจะต้องเป็นผู้แบกรับ โดยสามารถแบ่งข้อจำกัดได้ด้วยกัน 4 ประเด็นนี้

  • การสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนรุ่นเดียวกันของเด็กๆ 
  • ค่าใช่จ่ายที่อาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่ผู้ปกครองออกแบบ
  • ต้องทำเรื่องและยื่นเอกสารส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำเรื่องขอสอนแบบโฮมสคูล
  • ผู้ปกครองต้องออกแบบหลักสูตรให้ดี เพราะหากขาดตกอะไรไป จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ หรือส่งผลกระทบต่อการขอวุฒิการศึกษา

ประเด็นข้างต้นเป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่ยกมาเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละครอบครัวอีกด้วย

โฮมสคูลเหมาะกับใครบ้าง

โฮมสคูลเหมาะกับใครบ้าง

จริงๆ แล้วการทำโฮมสคูลเหมาะกับทุกๆ ครอบครัวที่มีความพร้อม และผู้ปกครองสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลหรือตอนที่เด็กๆ มีอายุครบ 4 ปี ก็สามารถทำการเรียนการสอนที่บ้านได้ โดยการทำโฮมสคูลผู้ปกครองควรมีความพร้อมเรื่องเวลา เพราะจะต้องทำการสอนให้เด็กๆ และคอยจัดการออกแบบหลักสูตร รวมทั้งต้องมีเวลาเตรียมเอกสารต่างๆ และต้องคอยอัปเดตข้อมูลกับทางพื้นที่การศึกษานั้นๆ 

สำหรับตัวเด็กเอง ผู้ปกครองอาจจะต้องดูว่ามีความพร้อมหรือสามารถเรียนรู้ในหลักสูตรนี้หรือไม่ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า โดยพื้นฐานแล้ว เด็กจะมีความเกรงกลัวและเชื่อฟังต่อคุณครูมากกว่าบุคคลที่คุ้นเคยอย่างผู้ปกครองเอง ดังนั้น ก่อนตัดสินใจผู้ปกครองจะต้องสังเกตและพิจารณาความพร้อมของตัวเองและเด็กๆ

พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร เพื่อการศึกษาแบบโฮมสคูล

พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร เพื่อการศึกษาแบบโฮมสคูล

ผู้ปกครองที่จะทำการเรียนการสอนแบบ Homeschool ต้องเริ่มตรวจสอบความพร้อมและศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ครบถ้วน เช่น วิธีการออกแบบหลักสูตรและความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน หรือการจัดตารางเรียนให้เหมาะสม โดยสามารถขอคำปรึกษาเหล่านี้จากทางสำนักงานพื้นที่การศึกษานั้นๆ หรือจะเป็นกลุ่ม Homeschool Network ที่จะมีข้อมูลให้ได้ศึกษาเพิ่มเติม

สำหรับข้อจำกัดที่ผู้ปกครองหลายคนอาจรู้สึกกังวัล คือ ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำการสอนวิชาต่างๆ ให้เด็กๆ ได้หรือไม่ ทั้งนี้ ไม่จำเป็นว่าผู้ปกครองจะต้องทำการสอนด้วยตนเอง แต่สามารถจ้างกลุ่มติวเตอร์เพื่อมาสอนวิชาที่ผู้ปกครองไม่ถนัดแทนได้ ก็ถือว่ายังไม่ผิดกติกาของการเรียนโฮมสคูลแต่อย่างใด

ออกแบบหลักสูตรเรียนโฮมสคูล

ออกแบบหลักสูตรเรียนโฮมสคูล

หากต้องการวุฒิการศึกษา ในการออกแบบหลักสูตรจำเป็นที่ต้องพึ่งพาหลักสูตรแกนกลาง เพื่อให้ได้วุฒิการศึกษา แต่หากเป็นการเรียน Homeschool ที่ไม่ต้องการวุฒิการศึกษาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้หลักสูตรแกนกลางเข้ามาช่วยในการออกแบบ ทั้งนี้ หลักสูตรแกนกลางตามกฎของกระทรวงศึกษา มีดังนี้

  • ภาษาไทย
  • คณิตศาสตร์
  • วิทยาศาสตร์
  • สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
  • สุขศึกษาและพลศึกษา
  • ศิลปะ
  • การงานอาชีพและเทคโนโลยี
  • ภาษาต่างประเทศ

หลักสูตรแกนกลางสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม และในการออกแบบหลักสูตรโฮมสคูล ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นหลักสูตรในไทยเพียงอย่างเดียว ผู้ปกครองสามารถหาซื้อหลักสูตรจากต่างประเทศได้ เช่น หลักสูตรของ Laurel Springs, Calvert, Wes Home เป็นต้น

เรียนโฮมสคูลอย่างไรให้ได้วุฒิการศึกษาไทย

เรียนโฮมสคูลอย่างไรให้ได้วุฒิการศึกษาไทย

การเรียนโฮมสคูลสามารถขอวุฒิการศึกษาได้เช่นเดียวกับการเรียนในระบบ เพื่อนำไปยื่นสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในอนาคต โดยผู้ปกครองจะต้องทำเรื่องขอเปิดบ้านเป็นสถานที่ศึกษาหรือโฮมสคูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโดยหลักๆ แล้วจะสามารถติดต่อประสานงานยื่นเอกสารได้ที่ 4 หน่วยงานนี้ด้วยกัน

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

ในการเรียน Homeschooling หากต้องการวุฒิการศึกษาผู้ปกครองจำเป็นต้องไปยื่นเรื่องที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตามเขตพื้นที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ และการยื่นเรื่องกับทางสำนักงานเขตนั้น ผู้ปกครองจะได้รับเงินสนับสนุนแต่ละเทอมอีกด้วย เช่น ค่าศึกษา ค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์การเรียน เป็นต้น โดยการยื่นเรื่องสามารถแบ่งตามระดับชั้นได้ ดังนี้

• ระดับอนุบาล

ยื่นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ซึ่งการยื่นเอกสารในระดับอนุบาลนี้อาจจะต้องขอคำปรึกษาเจ้าหน้าที่อีกครั้ง เพราะบางเขตการศึกษาก็แจ้งว่าอาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยื่นเอกสาร ดังนั้น ก่อนเข้าไปทำเรื่องควรปรึกษากับเจ้าหน้าที่ก่อน

• ระดับประถม

การเรียน Homeschooling ในระดับประถมสามารถยื่นเอกสารได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา หรือ สพป. ตามพื้นที่ที่อาศัยอยู่ โดยในการขอทำเรื่องผู้ปกครองจะต้องนำเอกสารต่างๆ ไปยื่น ซึ่งประกอบไปด้วยเอกสารสำคัญ เช่น ทะเบียนบ้าน วุฒิการศึกษาและสำเนาบัตรประชาชนของผู้จัดการศึกษา ทั้งนี้ ยังมีเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น  เอกสารการออกแบบการเรียบการสอนโดยอ้างอิงจากหลักสูตรแกนกลาง เอกสารแสดงความประสงค์ขออนุญาตจัดการศึกษาโดยครอบครัว รูปถ่ายของผู้เรียน เอกสารยื่นความประสงค์ขอจัดทำแผนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว ร่วมกับสพป. หรือสพม. เป็นต้น

• ระดับมัธยม

ยื่นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา หรือ สพม. ตามพื้นที่ที่อาศัยอยู่ โดยในระดับชั้นนี้แบ่งออกเป็น มัธยมตอนต้น (ม.1-3) และมัธยมตอนปลาย (ม.4-6) สำหรับการยื่นเอกสารก็จะมีขั้นตอนเช่นเดียวกับในระดับประถมที่ผู้ปกครองจำเป็นต้องนำหลักสูตรที่ได้ออกแบบไว้ไปยื่นกับเจ้าหน้าที่ แต่ทั้งนี้ การออกแบบหลักสูตรระดับมัธยมปลายอาจจะมีความยุ่งยากเล็กน้อย เพราะเป็นหลักสูตรที่ค่อนข้างเข้มข้นและมีความเฉพาะทาง ทำให้ผู้ปกครองหลายๆ คนเลือกที่จะไปลงทะเบียนเรียนกับโรงเรียนที่เปิดรับเด็กโฮมสคูลและนำหลักสูตรที่ได้มาทำการเรียนการสอนเองจากที่บ้าน

ลงทะเบียนเรียนกับ กศน.

สมัครเข้าเรียนในระบบของ กศน. ซึ่งย่อมาจาก การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ในการลงทะเบียนกับ กศน. จำเป็นที่จะต้องเรียนด้วยหลักสูตรของ กศน. เอง และเมื่อเรียนครบตามวิชาหรือระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ก็สามารถทำการสอบเพื่อขอวุฒิการศึกษาได้ ทั้งนี้ จะเปิดรับเฉพาะระดับมัธยมต้นและมัธยมปลาย

เรียนการศึกษาทางไกล

ผู้ที่เรียน Homeschooling ยังสามารถสมัครเรียนด้วยระบบการศึกษาทางไกล เมื่อสมัครเรียนแล้วจะได้รับเอกสารการเรียน และหนังสือการเรียน ซึ่งสามารถกลับมาเรียนรู้หรือศึกษาเองได้จากที่บ้าน โดยจะใช้เวลาเรียนเพียง 2 ปี ก็สามารถสอบและได้วุฒิการศึกษา ซึ่งจะคล้ายกับการเรียน กศน. ที่จะเปิดรับเฉพาะมัธยมต้นและมัธยมปลายเช่นกัน การสมัครเรียนการศึกษาทางไกลจะช่วยให้ผู้ปกครองประหยัดเวลาในการทำเอกสารยื่นเรื่องกับทางสำนักงานเขตได้เยอะทีเดียว

ขอลงเรียนกับสถานที่ที่รับเด็กโฮมสคูล

ตัวเลือกถัดมานี้จะเป็นการตัดสินใจลงเรียนกับสถานที่ที่เปิดรับเด็กโฮมสคูล ซึ่งในการสมัครเรียน ผู้ปกครองจำเป็นต้องจ่ายค่าเทอมตามปกติ แต่มีความแตกต่างจากการเรียนในระบบ คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปเรียน โดยสามารถเรียนจากที่บ้านตามหลักสูตรที่ได้รับมา สำหรับข้อดีของการลงเรียนกับสถานที่แห่งนี้คือ เมื่อเรียนจบ สอบผ่านแล้วจะได้รับวุฒิการศึกษาที่ออกในนามสถานที่นั้นๆ อย่างในกรุงเทพฯ เองก็จะมี รร.รุ่งอรุณ ที่เปิดรับ

ทำอย่างไรเมื่ออยากสอบเทียบวุฒิการศึกษาต่างประเทศ

ทำอย่างไรเมื่ออยากสอบเทียบวุฒิการศึกษาต่างประเทศ

การเรียนโฮมสคูลนอกจากจะสามารถสอบเทียบเท่าวุฒิของประเทศไทยได้แล้ว ยังสามารถที่จะขอสอบเทียบวุฒิการศึกษาต่างประเทศได้อีกด้วย ความแตกต่างของการสอบจะเป็นการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งแตกต่างตรงที่ได้รับการรองรับจากประเทศอเมริกาและประเทศอังกฤษ โดยน้องๆ ที่เรียนโฮมสคูลสามารถเลือกสอบแบบใดก็ได้

สอบ GED (อเมริกา)

GED ย่อมาจาก General Educational Development เป็นหลักสูตรการศึกษาจากประเทศอเมริกา ซึ่งจะเป็นการสอบเทียบวุฒิ ม.6 เพื่อยื่นขอเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าจะอยู่แค่ ม.4 หรืออายุ 16 ก็สามารถสอบได้ และหากสอบแล้วก็สามารถนำเอกสารไปยื่นต่อมหาวิทยาลัยได้ตามปกติเลย รวมถึง ยังสามารถยื่นได้ทั้งภาคไทยและอินเตอร์ ในหลากหลายคณะ เช่น บริหารธุรกิจ ศิลปศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี เป็นต้น แต่ถึงอย่างไร เมื่อทำเรื่องยื่นไปที่ทางมหาวิทยาลัยแล้วจำเป็นที่จะต้องสอบอีกครั้้งตามกฎของมหาวิทยาลัยนั้นๆ

โดยข้อสอบ GED จะแบ่งออกเป็น 4 วิชาด้วยกัน คือ Mathematics Reasoning, Social Studies, Science และ Reasoning Through Language Arts (RLA) โดยแต่ละวิชาจะมีคะแนนเต็มอยู่ที่ 200 คะแนน ควรได้ขั้นต่ำ 145 คะแนนต่อวิชา จึงจะถือว่าสอบผ่าน และสามารถทำเรื่องขอรับใบ GED Diploma and Transcript เมื่อสอบเสร็จ ทั้งนี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องสอบทั้ง 4 วิชาพร้อมๆ กัน เพราะสามารถเลือกสอบวิชาใดวิชาหนึ่งก่อนได้ หากสอบแล้วไม่ผ่าน สามารถทำการสอบได้ในครั้งต่อ ซึ่งจะจำกัดการสอบอยู่ที่ 3 ครั้ง หากครั้งที่ 3 ไม่ผ่านจำเป็นที่จะต้องรอ 60 วัน ก่อนที่จะกลับไปสอบใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ ได้มีประกาศว่า จำเป็นที่จะต้องผ่านการทดสอบ GED Ready ก่อนที่จะเข้าไปสอบจริง 

สำหรับสถานที่สอบจะแบ่งออกเป็นกรุงเทพฯ ที่ชิดลม อโศกและเอแบคบางนา และต่างจังหวัดจะมีศูนย์สอบที่เชียงใหม่ ตาก และภูเก็ต ซึ่งค่าสอบจะอยู่ที่วิชาละ 80 USD ถึงอย่างไรก็ตามหากน้องๆ ยังไม่มั่นใจหรือกังวลว่าตัวเองมีความพร้อมหรือความเข้าใจมากพอที่จะทำการสอบหรือไม่ ก็สามารถขอคำปรึกษาจากสถาบันที่เชี่ยวชาญในการสอน GED เพิ่มเติม เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้ทำข้อสอบได้แบบผ่านฉลุย

สอบ IGCSE & A Level (อังกฤษ)

IGCSE ย่อมาจาก International General Certificate of Secondary Education เป็นหลักสูตรการศึกษาจากประเทศอังกฤษ โดยจะเป็นการสอบเทียบวุฒิเฉพาะของ ม.4 เท่านั้น หากต้องการวุฒิการศึกษาระดับ ม.6 จะต้องนำวุฒิ IGCSE ที่ได้ไปทำการสอบ A Level ต่อ เพื่อให้ได้วุฒิ ม.6 มาครอบครอง 

ปกติแล้ว IGCSE จะเปิดสอบที่โรงเรียนนานาชาติที่น้องๆ ศึกษาอยู่ โดยปกติจะจัดขึ้น 2 ครั้งต่อปี ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน แต่สำหรับน้องๆ ที่ศึกษาในระบบการเรียนแบบโฮมสคูลจะไม่ได้มีรายชื่ออยู่ในโรงเรียนนานาชาติ สามารถไปสมัครสอบได้ที่ British Council Thailand ผ่านการลงทะเบียนออนไลน์ หรือติดตามประกาศการรับสมัครสอบของคนนอกได้จาก Harrow International School 

โดยในปัจจุบันการสอบเพื่อวุฒิสำหรับต่างประเทศนั้นถือว่าเป็นข้อได้เปรียบมาก ๆ สำหรับเด็ก Homeschool เพราะนอกจากมหาวิทยาลัยในไทยเองหลายแห่งก็รองรับวุฒิเหล่านี้แล้ว ยังเปิดโอกาสให้น้อง ๆ มีโอกาสสอบเข้าเรียนในระดับปริญญาในต่างประเทศได้ด้วย โดยใครที่สนใจ คอร์สเรียนโฮมสคูล Interpass เองก็มีคอร์สเรียนโฮมสคูลที่สามารถใช้สอบเพื่อเทียบวุฒิการศึกษาต่างประเทศเช่นกัน

สรุปแล้วปัจจุบัน ทางเลือกการเรียนแบบโฮมสคูล หรือ Homeschooling ได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทย เพราะผู้ปกครองหลายๆ คนเริ่มมองเห็นถึงความสำคัญในการออกแบบหลักสูตรการเรียนที่ตรงกับความสนใจ และความถนัดของเด็กๆ รวมทั้งเรื่องความยืดหยุ่นในการเรียนการสอนที่มีมากกว่าการเรียนในระบบ ทำให้เด็กๆ ได้มีอิสระและปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การเรียนโฮมสคูลเองก็ยังสามารถขอวุฒิการศึกษาได้เช่นเดียวกันโรงเรียนในระบบได้อีกด้วย

"โฮมสคูล" การศึกษาแนวใหม่ ด้วยการออกแบบหลักสูตรเอง 5 ข้อควรระวัง!! รู้ก่อนสอบ IELTS Listening

Date : Apr 11, 2022

You May Like