ในช่วงที่สถานการณ์โควิดระบาดหนัก ทำให้หลายโรงเรียนได้หันมาสอนในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น จนหลายปีที่ผ่านมา น้องๆ จำเป็นที่จะต้องเรียนที่บ้าน ทำให้ผู้ปกครองหลายท่านเริ่มหันมาสนใจและศึกษาข้อมูลการเรียนการสอนที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศ คือ การเรียนแบบโฮมสคูล (Homeschool) หรือการเรียนจากที่บ้าน เช่นเดียวทาง Interpass ที่เล็งเห็นความสำคัญของการเรียนแบบ Homeschooling เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ปกครองและน้องๆ ได้เข้าใจถึงคอนเซปต์และได้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นว่า การเรียน Homeschooling คืออะไรและเรียนแบบไหนกัน บทความนี้จึงมาแนะนำขั้นตอนหรือวิธีต่างๆ ในการทำเรื่องขอเปิดการเรียนการสอนจากที่บ้าน และตอบทุกคำถามว่า การเรียนในลักษณะนี้จะสามารถขอเทียบวุฒิได้หรือไม่? หากพร้อมแล้วเราก็ไปหาคำตอบกันเลย!

Homeschooling คืออะไร?
Homeschooling คือ ระบบการศึกษาแนวใหม่ที่เรียนจากที่บ้าน และเป็นตัวผลักดันให้เด็กๆ ได้โชว์ศักยภาพ แสดงความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่มีข้อจำกัด ด้วยการออกแบบหรือเลือกซื้อหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของเด็กๆ ช่วยเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ การเรียน Homeschool ยังคงเป็นเทรนด์ที่มาแรงในปัจจุบัน และคาดว่าจะมีความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะด้วยสถานการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น เช่น โรคระบาดโควิดที่ทำให้นักเรียนต้องเรียนออนไลน์มากขึ้น ทำให้ผู้ปกครองเริ่มเล็งเห็นว่าไม่จำเป็นต้องส่งเด็กๆ เข้าไปเรียนในระบบที่อาจไม่เหมาะสมกับตัวเอง เป็นต้น ซึ่งในทางกฏหมายตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กล่าวไว้ว่า ครอบครัว พ่อแม่หรือผู้ดูแล สามารถออกแบบหรือจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่เด็กเองได้ โดยที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐ หรือเอกชน

ทำไม Homeschool ถึงได้รับความสนใจ
ข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างการเรียนในระบบและการเรียนแบบโฮมสคูล คือ ผู้ปกครองสามารถออกแบบหลักสูตรตามความเหมาะสมได้ แต่เมื่อลองเปรียบเทียบการเรียนการสอนในโรงเรียนตามปกติ ที่นักเรียนทุกคนจะต้องเรียนวิชาเดียวกันทั้งหมด และด้วยข้อจำกัดของเด็กในห้องที่มีความสามารถ ความคิด ความถนัดและศักยภาพที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การเรียนรู้หรือการรับรู้ของเด็กแต่ละคนทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
แต่การเรียนโฮมสคูลจะเน้นที่การเรียนแบบตัวต่อตัว ซึ่งอาจจะเป็นผู้ปกครองเองที่เป็นคนสอน หรืออาจจะเป็นติวเตอร์ที่เข้ามาช่วยสอน ทำให้พ่อแม่หรือติวเตอร์เองสามารถประเมินได้ว่า ความเข้าใจในวิชาที่เด็กๆ กำลังเรียนอยู่นั้นเป็นอย่างไร และทำการปรับปรุงรูปแบบการสอนให้เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เด็กๆ สามารถใช้เวลาในการเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองชอบ หรือตัวเองมีความถนัด ส่งผลให้เด็กเหล่านี้สามารถค้นพบสิ่งที่ตัวชอบได้อย่างรวดเร็ว และมีความรู้ความเข้าในสิ่งที่ตัวเองเรียนอย่างแท้จริง

ข้อควรระวังในการทำโฮมสคูล
ใช่ว่าการทำโฮมสคูลจะมีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว เพราะแน่นอนว่ายังมีเรื่องข้อจำกัด และสิ่งที่ผู้ปกครองเองจะต้องเป็นผู้แบกรับ โดยสามารถแบ่งข้อจำกัดได้ด้วยกัน 4 ประเด็นนี้
- การสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนรุ่นเดียวกันของเด็กๆ
- ค่าใช่จ่ายที่อาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่ผู้ปกครองออกแบบ
- ต้องทำเรื่องและยื่นเอกสารส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำเรื่องขอสอนแบบโฮมสคูล
- ผู้ปกครองต้องออกแบบหลักสูตรให้ดี เพราะหากขาดตกอะไรไป จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ หรือส่งผลกระทบต่อการขอวุฒิการศึกษา
ประเด็นข้างต้นเป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่ยกมาเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละครอบครัวอีกด้วย

โฮมสคูลเหมาะกับใครบ้าง
จริงๆ แล้วการทำโฮมสคูลเหมาะกับทุกๆ ครอบครัวที่มีความพร้อม และผู้ปกครองสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลหรือตอนที่เด็กๆ มีอายุครบ 4 ปี ก็สามารถทำการเรียนการสอนที่บ้านได้ โดยการทำโฮมสคูลผู้ปกครองควรมีความพร้อมเรื่องเวลา เพราะจะต้องทำการสอนให้เด็กๆ และคอยจัดการออกแบบหลักสูตร รวมทั้งต้องมีเวลาเตรียมเอกสารต่างๆ และต้องคอยอัปเดตข้อมูลกับทางพื้นที่การศึกษานั้นๆ
สำหรับตัวเด็กเอง ผู้ปกครองอาจจะต้องดูว่ามีความพร้อมหรือสามารถเรียนรู้ในหลักสูตรนี้หรือไม่ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า โดยพื้นฐานแล้ว เด็กจะมีความเกรงกลัวและเชื่อฟังต่อคุณครูมากกว่าบุคคลที่คุ้นเคยอย่างผู้ปกครองเอง ดังนั้น ก่อนตัดสินใจผู้ปกครองจะต้องสังเกตและพิจารณาความพร้อมของตัวเองและเด็กๆ

พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร เพื่อการศึกษาแบบโฮมสคูล
ผู้ปกครองที่จะทำการเรียนการสอนแบบ Homeschool ต้องเริ่มตรวจสอบความพร้อมและศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ครบถ้วน เช่น วิธีการออกแบบหลักสูตรและความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน หรือการจัดตารางเรียนให้เหมาะสม โดยสามารถขอคำปรึกษาเหล่านี้จากทางสำนักงานพื้นที่การศึกษานั้นๆ หรือจะเป็นกลุ่ม Homeschool Network ที่จะมีข้อมูลให้ได้ศึกษาเพิ่มเติม
สำหรับข้อจำกัดที่ผู้ปกครองหลายคนอาจรู้สึกกังวัล คือ ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำการสอนวิชาต่างๆ ให้เด็กๆ ได้หรือไม่ ทั้งนี้ ไม่จำเป็นว่าผู้ปกครองจะต้องทำการสอนด้วยตนเอง แต่สามารถจ้างกลุ่มติวเตอร์เพื่อมาสอนวิชาที่ผู้ปกครองไม่ถนัดแทนได้ ก็ถือว่ายังไม่ผิดกติกาของการเรียนโฮมสคูลแต่อย่างใด

ออกแบบหลักสูตรเรียนโฮมสคูล
หากต้องการวุฒิการศึกษา ในการออกแบบหลักสูตรจำเป็นที่ต้องพึ่งพาหลักสูตรแกนกลาง เพื่อให้ได้วุฒิการศึกษา แต่หากเป็นการเรียน Homeschool ที่ไม่ต้องการวุฒิการศึกษาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้หลักสูตรแกนกลางเข้ามาช่วยในการออกแบบ ทั้งนี้ หลักสูตรแกนกลางตามกฎของกระทรวงศึกษา มีดังนี้
- ภาษาไทย
- คณิตศาสตร์
- วิทยาศาสตร์
- สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
- สุขศึกษาและพลศึกษา
- ศิลปะ
- การงานอาชีพและเทคโนโลยี
- ภาษาต่างประเทศ
หลักสูตรแกนกลางสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม และในการออกแบบหลักสูตรโฮมสคูล ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นหลักสูตรในไทยเพียงอย่างเดียว ผู้ปกครองสามารถหาซื้อหลักสูตรจากต่างประเทศได้ เช่น หลักสูตรของ Laurel Springs, Calvert, Wes Home เป็นต้น

เรียนโฮมสคูลอย่างไรให้ได้วุฒิการศึกษาไทย
การเรียนโฮมสคูลสามารถขอวุฒิการศึกษาได้เช่นเดียวกับการเรียนในระบบ เพื่อนำไปยื่นสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในอนาคต โดยผู้ปกครองจะต้องทำเรื่องขอเปิดบ้านเป็นสถานที่ศึกษาหรือโฮมสคูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโดยหลักๆ แล้วจะสามารถติดต่อประสานงานยื่นเอกสารได้ที่ 4 หน่วยงานนี้ด้วยกัน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ในการเรียน Homeschooling หากต้องการวุฒิการศึกษาผู้ปกครองจำเป็นต้องไปยื่นเรื่องที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตามเขตพื้นที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ และการยื่นเรื่องกับทางสำนักงานเขตนั้น ผู้ปกครองจะได้รับเงินสนับสนุนแต่ละเทอมอีกด้วย เช่น ค่าศึกษา ค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์การเรียน เป็นต้น โดยการยื่นเรื่องสามารถแบ่งตามระดับชั้นได้ ดังนี้
• ระดับอนุบาล
ยื่นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ซึ่งการยื่นเอกสารในระดับอนุบาลนี้อาจจะต้องขอคำปรึกษาเจ้าหน้าที่อีกครั้ง เพราะบางเขตการศึกษาก็แจ้งว่าอาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยื่นเอกสาร ดังนั้น ก่อนเข้าไปทำเรื่องควรปรึกษากับเจ้าหน้าที่ก่อน
• ระดับประถม
การเรียน Homeschooling ในระดับประถมสามารถยื่นเอกสารได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา หรือ สพป. ตามพื้นที่ที่อาศัยอยู่ โดยในการขอทำเรื่องผู้ปกครองจะต้องนำเอกสารต่างๆ ไปยื่น ซึ่งประกอบไปด้วยเอกสารสำคัญ เช่น ทะเบียนบ้าน วุฒิการศึกษาและสำเนาบัตรประชาชนของผู้จัดการศึกษา ทั้งนี้ ยังมีเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น เอกสารการออกแบบการเรียบการสอนโดยอ้างอิงจากหลักสูตรแกนกลาง เอกสารแสดงความประสงค์ขออนุญาตจัดการศึกษาโดยครอบครัว รูปถ่ายของผู้เรียน เอกสารยื่นความประสงค์ขอจัดทำแผนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว ร่วมกับสพป. หรือสพม. เป็นต้น
• ระดับมัธยม
ยื่นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา หรือ สพม. ตามพื้นที่ที่อาศัยอยู่ โดยในระดับชั้นนี้แบ่งออกเป็น มัธยมตอนต้น (ม.1-3) และมัธยมตอนปลาย (ม.4-6) สำหรับการยื่นเอกสารก็จะมีขั้นตอนเช่นเดียวกับในระดับประถมที่ผู้ปกครองจำเป็นต้องนำหลักสูตรที่ได้ออกแบบไว้ไปยื่นกับเจ้าหน้าที่ แต่ทั้งนี้ การออกแบบหลักสูตรระดับมัธยมปลายอาจจะมีความยุ่งยากเล็กน้อย เพราะเป็นหลักสูตรที่ค่อนข้างเข้มข้นและมีความเฉพาะทาง ทำให้ผู้ปกครองหลายๆ คนเลือกที่จะไปลงทะเบียนเรียนกับโรงเรียนที่เปิดรับเด็กโฮมสคูลและนำหลักสูตรที่ได้มาทำการเรียนการสอนเองจากที่บ้าน
ลงทะเบียนเรียนกับ กศน.
สมัครเข้าเรียนในระบบของ กศน. ซึ่งย่อมาจาก การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ในการลงทะเบียนกับ กศน. จำเป็นที่จะต้องเรียนด้วยหลักสูตรของ กศน. เอง และเมื่อเรียนครบตามวิชาหรือระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ก็สามารถทำการสอบเพื่อขอวุฒิการศึกษาได้ ทั้งนี้ จะเปิดรับเฉพาะระดับมัธยมต้นและมัธยมปลาย
เรียนการศึกษาทางไกล
ผู้ที่เรียน Homeschooling ยังสามารถสมัครเรียนด้วยระบบการศึกษาทางไกล เมื่อสมัครเรียนแล้วจะได้รับเอกสารการเรียน และหนังสือการเรียน ซึ่งสามารถกลับมาเรียนรู้หรือศึกษาเองได้จากที่บ้าน โดยจะใช้เวลาเรียนเพียง 2 ปี ก็สามารถสอบและได้วุฒิการศึกษา ซึ่งจะคล้ายกับการเรียน กศน. ที่จะเปิดรับเฉพาะมัธยมต้นและมัธยมปลายเช่นกัน การสมัครเรียนการศึกษาทางไกลจะช่วยให้ผู้ปกครองประหยัดเวลาในการทำเอกสารยื่นเรื่องกับทางสำนักงานเขตได้เยอะทีเดียว
ขอลงเรียนกับสถานที่ที่รับเด็กโฮมสคูล
ตัวเลือกถัดมานี้จะเป็นการตัดสินใจลงเรียนกับสถานที่ที่เปิดรับเด็กโฮมสคูล ซึ่งในการสมัครเรียน ผู้ปกครองจำเป็นต้องจ่ายค่าเทอมตามปกติ แต่มีความแตกต่างจากการเรียนในระบบ คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปเรียน โดยสามารถเรียนจากที่บ้านตามหลักสูตรที่ได้รับมา สำหรับข้อดีของการลงเรียนกับสถานที่แห่งนี้คือ เมื่อเรียนจบ สอบผ่านแล้วจะได้รับวุฒิการศึกษาที่ออกในนามสถานที่นั้นๆ อย่างในกรุงเทพฯ เองก็จะมี รร.รุ่งอรุณ ที่เปิดรับ

ทำอย่างไรเมื่ออยากสอบเทียบวุฒิการศึกษาต่างประเทศ
การเรียนโฮมสคูลนอกจากจะสามารถสอบเทียบเท่าวุฒิของประเทศไทยได้แล้ว ยังสามารถที่จะขอสอบเทียบวุฒิการศึกษาต่างประเทศได้อีกด้วย ความแตกต่างของการสอบจะเป็นการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งแตกต่างตรงที่ได้รับการรองรับจากประเทศอเมริกาและประเทศอังกฤษ โดยน้องๆ ที่เรียนโฮมสคูลสามารถเลือกสอบแบบใดก็ได้
• สอบ GED (อเมริกา)
GED ย่อมาจาก General Educational Development เป็นหลักสูตรการศึกษาจากประเทศอเมริกา ซึ่งจะเป็นการสอบเทียบวุฒิ ม.6 เพื่อยื่นขอเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าจะอยู่แค่ ม.4 หรืออายุ 16 ก็สามารถสอบได้ และหากสอบแล้วก็สามารถนำเอกสารไปยื่นต่อมหาวิทยาลัยได้ตามปกติเลย รวมถึง ยังสามารถยื่นได้ทั้งภาคไทยและอินเตอร์ ในหลากหลายคณะ เช่น บริหารธุรกิจ ศิลปศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี เป็นต้น แต่ถึงอย่างไร เมื่อทำเรื่องยื่นไปที่ทางมหาวิทยาลัยแล้วจำเป็นที่จะต้องสอบอีกครั้้งตามกฎของมหาวิทยาลัยนั้นๆ
โดยข้อสอบ GED จะแบ่งออกเป็น 4 วิชาด้วยกัน คือ Mathematics Reasoning, Social Studies, Science และ Reasoning Through Language Arts (RLA) โดยแต่ละวิชาจะมีคะแนนเต็มอยู่ที่ 200 คะแนน ควรได้ขั้นต่ำ 145 คะแนนต่อวิชา จึงจะถือว่าสอบผ่าน และสามารถทำเรื่องขอรับใบ GED Diploma and Transcript เมื่อสอบเสร็จ ทั้งนี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องสอบทั้ง 4 วิชาพร้อมๆ กัน เพราะสามารถเลือกสอบวิชาใดวิชาหนึ่งก่อนได้ หากสอบแล้วไม่ผ่าน สามารถทำการสอบได้ในครั้งต่อ ซึ่งจะจำกัดการสอบอยู่ที่ 3 ครั้ง หากครั้งที่ 3 ไม่ผ่านจำเป็นที่จะต้องรอ 60 วัน ก่อนที่จะกลับไปสอบใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ ได้มีประกาศว่า จำเป็นที่จะต้องผ่านการทดสอบ GED Ready ก่อนที่จะเข้าไปสอบจริง
สำหรับสถานที่สอบจะแบ่งออกเป็นกรุงเทพฯ ที่ชิดลม อโศกและเอแบคบางนา และต่างจังหวัดจะมีศูนย์สอบที่เชียงใหม่ ตาก และภูเก็ต ซึ่งค่าสอบจะอยู่ที่วิชาละ 80 USD ถึงอย่างไรก็ตามหากน้องๆ ยังไม่มั่นใจหรือกังวลว่าตัวเองมีความพร้อมหรือความเข้าใจมากพอที่จะทำการสอบหรือไม่ ก็สามารถขอคำปรึกษาจากสถาบันที่เชี่ยวชาญในการสอน GED เพิ่มเติม เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้ทำข้อสอบได้แบบผ่านฉลุย
• สอบ IGCSE & A Level (อังกฤษ)
IGCSE ย่อมาจาก International General Certificate of Secondary Education เป็นหลักสูตรการศึกษาจากประเทศอังกฤษ โดยจะเป็นการสอบเทียบวุฒิเฉพาะของ ม.4 เท่านั้น หากต้องการวุฒิการศึกษาระดับ ม.6 จะต้องนำวุฒิ IGCSE ที่ได้ไปทำการสอบ A Level ต่อ เพื่อให้ได้วุฒิ ม.6 มาครอบครอง
ปกติแล้ว IGCSE จะเปิดสอบที่โรงเรียนนานาชาติที่น้องๆ ศึกษาอยู่ โดยปกติจะจัดขึ้น 2 ครั้งต่อปี ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน แต่สำหรับน้องๆ ที่ศึกษาในระบบการเรียนแบบโฮมสคูลจะไม่ได้มีรายชื่ออยู่ในโรงเรียนนานาชาติ สามารถไปสมัครสอบได้ที่ British Council Thailand ผ่านการลงทะเบียนออนไลน์ หรือติดตามประกาศการรับสมัครสอบของคนนอกได้จาก Harrow International School
โดยในปัจจุบันการสอบเพื่อวุฒิสำหรับต่างประเทศนั้นถือว่าเป็นข้อได้เปรียบมาก ๆ สำหรับเด็ก Homeschool เพราะนอกจากมหาวิทยาลัยในไทยเองหลายแห่งก็รองรับวุฒิเหล่านี้แล้ว ยังเปิดโอกาสให้น้อง ๆ มีโอกาสสอบเข้าเรียนในระดับปริญญาในต่างประเทศได้ด้วย โดยใครที่สนใจ คอร์สเรียนโฮมสคูล Interpass เองก็มีคอร์สเรียนโฮมสคูลที่สามารถใช้สอบเพื่อเทียบวุฒิการศึกษาต่างประเทศเช่นกัน
สรุปแล้วปัจจุบัน ทางเลือกการเรียนแบบโฮมสคูล หรือ Homeschooling ได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทย เพราะผู้ปกครองหลายๆ คนเริ่มมองเห็นถึงความสำคัญในการออกแบบหลักสูตรการเรียนที่ตรงกับความสนใจ และความถนัดของเด็กๆ รวมทั้งเรื่องความยืดหยุ่นในการเรียนการสอนที่มีมากกว่าการเรียนในระบบ ทำให้เด็กๆ ได้มีอิสระและปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การเรียนโฮมสคูลเองก็ยังสามารถขอวุฒิการศึกษาได้เช่นเดียวกันโรงเรียนในระบบได้อีกด้วย