BLOG

    Home Blog CU-TEP/TU-GET เจาะลึกข้อดีการสอบ CU-TEP และ IELTS ตัวไหนดีกว่า ต้องอ่าน!

เจาะลึกข้อดีการสอบ CU-TEP และ IELTS ตัวไหนดีกว่า ต้องอ่าน!

เจาะลึก! ข้อดีของการสอบ CU-TEP และ IELTS by ครูพี่เพนนี วัดกันให้รู้ ตัวไหน ดีอย่างไร ต้องอ่าน!

สวัสดีค่าาาา ขอทายว่าน้อง ๆ ที่เข้ามาอ่านบทความนี้ต้องกำลังลังเลใจอยู่ว่า เอ…การสอบ CU-TEP กับ IELTS เนี่ย เลือกสอบตัวไหนดีนะ? หรือ การสอบไหนที่เหมาะกับเราและมีแนวโน้มที่เราจะทำออกมาได้ดีกว่า? วันนี้พี่เพนนีได้เรียบเรียงความดีงามของการสอบทั้งสองอันมาวางเปรียบเทียบให้รู้กันไปเลยว่า การสอบไหนดีอย่างไร และอันไหนคือแนวข้อสอบที่เหมาะกับเรากันแน่ ไปดูกันเลย

ก่อนอื่นพี่ขอพูดถึงภาพรวมของการสอบทั้งสองตัวนี้ก่อนนะคะ ไปเริ่มกันที่ฝั่งบ้านเรากับข้อสอบ CU-TEP นั่นเอง

CU-TEP (Chulalongkorn University Test of English Proficiency)

CU-TEP (Chulalongkorn University Test of English Proficiency)

ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาจาก สถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้ยื่นเข้าศึกษาต่อทั้งในรั้วจุฬาฯเองและมหาวิทยาลัยอื่นที่รับพิจารณา ข้อสอบจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วนหลัก คือ Listening, Reading และ Writing (Error Identification) ทั้งนี้จะมีการสอบ Speaking แยก สำหรับบางคณะที่ต้องใช้คะแนนส่วนนี้ด้วย

ข้อสอบจะเป็นรูปแบบปรนัยทั้งหมด เวลาในการสอบ (ไม่รวม Speaking) 2 ชั่วโมง 10 นาที รวม 120 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน

1. Listening: 30 ข้อ 30 นาที

            1.1 Short Dialogues: 15 ข้อ

            ฟังบทสนทนาสั้น ๆ ของคนสองคน

            1.2 Long Dialogues: 3 เรื่อง เรื่องละ 3 ข้อ รวมเป็น 9 ข้อ

            ฟังบทสนทนาของคนสองคนที่ยาวขึ้นมาอีกนิด ประมาณ 3-4 นาที

            1.3 Talks: 2 เรื่อง เรื่องละ 3 ข้อ รวมเป็น 6 ข้อ

            เรียกอีกอย่างว่า Monologue เพราะมีผู้พูดคนเดียว อาจเป็นการฟังบรรยาย Lecture หรือ    โฆษณา

2. Reading: 60 ข้อ 70 นาที

         2.1 Cloze Test: 1 เรื่อง 15 ข้อ

            เนื้อเรื่องที่ให้มาจะมีการเว้นช่องว่างไว้ให้เราเลือกคำตอบที่ถูกต้องมาเติมให้ใจความสมบูรณ์

            2.2 Short Passage: 1 เรื่อง 5 ข้อ

            เนื้อเรื่องครบถ้วนสมบูรณ์ ความยาวประมาณครึ่งหน้ากระดาษ A4

         2.3 Long Passage: 4 เรื่อง เรื่องละ 10 ข้อ รวมเป็น 40 ข้อ

            เนื้อเรื่องครบถ้วนสมบูรณ์ ความยาวประมาณ 1-2 หน้ากระดาษ A4

3. Writing: 30 ข้อ 30 นาที

         3.1 Error Identification

         หาข้อผิดในประโยคที่ให้มา ไม่ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง

ต่อมาถึงคิวข้อสอบจากเมืองนอกอย่าง IELTS บ้างค่ะ

IELTS (International English Language Testing System)

IELTS (International English Language Testing System)

เป็นข้อสอบมาตรฐานที่ใช้ทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ค่ะ การสอบก็จะวัดสี่สกิลหลัก ๆ คือ Listening, Reading, Writing, และ Speaking จริง ๆ IELTS แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ เพื่อการศึกษาต่อ (Academic Modules) และ เพื่อการฝึกอบรม (General Training Modules) ซึ่งแน่นอนว่าวันนี้เราจะพูดถึงแค่ Academic Modules กันนะคะ

  • เวลาในการสอบ 3 ส่วนแรก (Listening, Reading, Writing) อยู่ที่ 2 ชั่วโมง 30 นาที และแยกสอบ Speaking ในตอนบ่ายอีกคนละ 11-14 นาที
  • คะแนน IELTS จะมีอยู่ 9 ระดับ ลักษณะคะแนนจะเริ่มจาก 0.0 – 9.0 (มีการนับครึ่งคะแนน 0.5 ด้วย)

1. Listening: 40 ข้อ 30 นาที (+ เวลาสำหรับเติมคำตอบในตอนท้ายอีก 10 นาที)

         1.1 Conversation

         บทสนทนาระหว่างคนสองคน เนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตประจำวันหรือสังคมทั่วไป

         1.2 Talk

         Monologue เนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตประจำวันหรือสังคมทั่วไป

         1.3 Discussion

         บทสนทนาระหว่าง 2-4 คน เนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษา

         1.4 Academic Lecture

         Monologue เกี่ยวกับการศึกษา เช่น บทเรียนในชั้นเรียน เป็นต้น

Notice

คำถามในข้อสอบ IELTS ไม่ตายตัว หากใน Listening น้อง ๆ อาจเจอคำถามทั้งปรนัยและอัตนัย, การจับคู่, การเติมคำในช่องว่างหรือเติมคำในตาราง/กราฟ/แผนภูมิ เป็นต้น

2. Reading: 40 ข้อ 60 นาที

            ประกอบไปด้วย 3 Passages โดยเนื้อหาอาจนำมาจากหนังสือเรียน นิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์หรืองานวิจัยต่าง ๆ และรูปแบบคำถามก็มีหลากหลายเช่นเดียวกันกับ Listening เลยค่ะ แต่รูปแบบที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกันคือ True, False, Not given หรือการตอบว่าสิ่งที่โจทย์ยกมานั้นถูก ผิด หรือไม่ได้มีการกล่าวถึงเลยกันแน่ เรียกได้ว่า วัดความเข้าใจกันจริงๆ

3. Writing: 2 Tasks 60 นาที

         3.1 Task 1: 150 คำ

         หรือหลาย ๆ คนอาจคุ้นว่า Task 1 คือการเขียนอธิบายกราฟ ซึ่งจริง ๆ แล้ว โจทย์ไม่ได้มีแค่กราฟเท่านั้นนะคะ น้อง ๆ อาจจะได้เขียนอธิบาย แผนภูมิ แผนที่ หรือตาราง ก็เป็นได้ ดังนั้น Keyword ของ Task 1 นี้คือการเขียน “อธิบาย” ข้อมูลตามจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่การเขียนแสดงความคิดเห็นนะจ๊ะ อาจมีการเปรียบเทียบข้อมูลบ้างเพื่อแสดงความซับซ้อนในการเขียนและอัพคะแนน แต่ต้องจำไว้ว่าคำตอบที่เราเขียน ต้องมาจากโจทย์ที่เราได้รับเท่านั้นนะคะ

            3.2 Task 2: 250 คำ

            ใครใคร่จะเขียนแสดงความคิดเห็นของตัวเอง โอกาสมาถึงแล้วนะคะสำหรับ Task 2 นี้ เพราะหัวใจของ Task นี้จะเป็นการถามเพื่อให้น้องแสดงความคิดเห็นหรือข้อโต้แย้งที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับโจทย์ที่ได้รับ เป็นสาเหตุว่าทำไม Task นี้ถึงมีจำนวนคำเยอะกว่านั่นเอง  

Notice

ถึงแม้ว่าพาร์ทนี้จะให้เวลามาถึง 1 ชั่วโมงกับการเขียน 2 Tasks แต่การจัดสรรเวลาพี่เพนนีไม่แนะนำให้แบ่งเป็นครึ่งต่อครึ่งเป้ะ ๆ นะคะ (30 นาที ต่อ 1 Task) เพราะสังเกตว่าแค่จำนวนคำที่เขาบังคับให้เขียนก็ไม่เท่ากันแล้ว ดังนั้น เราควรเผื่อเวลาให้การเขียน Task 2 เยอะหน่อย เพราะนอกจากต้องเขียนยาวกว่าแล้ว เรายังต้องเผื่อเวลาจัดเรียงความคิดที่จะเอามาเขียนตอบด้วย

4. Speaking: 3 Parts 11-14 นาที

         4.1 Introduction and Interview: 4-5 นาที

            เป็นการถามถึงเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับตัวผู้สอบเช่น บ้านเกิด ครอบครัว การทำงาน เป็นต้น

            4.2 Individual Long Run: 3-4 นาที

         ช่วงนี้น้อง ๆ จะได้รับกระดาษคำถามและดินสอ พร้อมกับเวลาเตรียมตัว 1 นาทีในการพูดตอบคำถามในกระดาษนั้นนานประมาณ 2 นาที

            4.3 Discussion: 4-5 นาที

            ช่วงสุดท้ายจะเป็นการพูดคุยถามตอบในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับคำถามที่น้อง ๆ ได้เจอไปใน Individual Long Run

ข้อดีของการสอบ CU-TEP และ IELTS

ข้อดีของการสอบ CU-TEP

  • เวลาในการทำข้อสอบทั้งหมดน้อยกว่า

เห็นได้ชัดเจนเลยคือน้อง ๆ จะได้สอบแค่ช่วงเช้า ทั้งนี้หากน้องต้องใช้คะแนน Speaking ด้วย ก็ต้องมาสอบอีกตอนบ่ายและใช้เวลาประมาณ 15 นาที แต่ถึงยังไง เวลาโดยรวมก็ยังน้อยกว่า IELTS อยู่ดีค่ะ แถมหลังสอบช่วงเช้ายังมีเวลาแว้บไปทานข้าวเยอะกว่าเพราะเราสอบเสร็จตอนที่เข็มนาฬิกายังไม่ตีถึงเที่ยงด้วยซ้ำนะ

  • รูปแบบข้อสอบตายตัว

อย่างที่เห็นไปในรายละเอียดของแต่ละการสอบที่พี่พูดถึงข้างต้นนะคะ การสอบ CU-TEP เนี่ยจะเป็นปรนัยทั้ง 120 ข้อเลย ในขณะที่ IELTS มีรูปแบบคำถามที่หลากหลาย น้องก็อาจจะต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับแนวข้อสอบเหล่านั้นเพิ่มขึ้นนั่นเอง

  • ราคาน่ารัก

ราคาการสอบ CU-TEP หากไม่รวม Speaking จะอยู่ที่ 900 บาทค่ะ แต่ถ้าสอบ Speaking ด้วยราคาจะเป็น 2,900 บาท ซึ่งก็ยังเป็นมิตรกว่าการสอบ IELTS ที่สูงถึง 6,900 บาทเลยทีเดียว

  • สนามสอบเยอะกว่า

ในที่นี้หมายถึงสนามสอบในต่างจังหวัดนะคะ ซึ่งทั้งสองการสอบมีการกระจายสนามสอบไปในทุกภูมิภาคของประเทศไทยทั้งคู่ แต่ CU-TEP เฉือนชนะไปด้วย 8 จังหวัดด้วยกัน ประกอบไปด้วย เชียงใหม่ ตาก พิษณุโลก กำแพงเพชร สกลนคร นครพนม นครศรีธรรมราช และสงขลาค่ะ ส่วน IELTS ต้องดูว่าน้องเลือกสอบของค่ายไหน โดยมีให้เลือกหลัก ๆ 2 ค่าย คือ IDP และ British Council ซึ่งสนามสอบต่างจังหวัดของสองค่ายนี้รวมกันก็ยังน้อยกว่าทาง CU-TEP อยู่ดีค่ะ

ข้อดีของการสอบ IELTS

  • โอกาสมากกว่า

การสอบ IELTS เป็นการสอบมาตรฐานระดับสากลที่ได้รับการยอมรับจากสถานศึกษาและองค์กรต่าง ๆ มากกว่า 10,000 แห่ง จาก 140 ประเทศ ดังนั้นน้อง ๆ มีโอกาสยื่นคะแนนของตัวเองไม่ใช่แค่ในไทย แต่รวมถึงประเทศอื่น ๆ เช่น อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา หรือ นิวซีแลนด์ เป็นต้น และแน่นอนคะแนน IELTS ไม่ได้มีไว้ใช้แค่ยื่นเรียนต่อ แต่การสมัครงานบริษัทชั้นนำต่าง ๆ อาจต้องใช้คะแนน IELTS เช่นกัน ดังนั้น โอกาสมากกว่าเห็น ๆ เลยค่ะ

  • แกรมม่าน้อยกว่า

สิ่งที่ข้อสอบ IELTS ต้องการวัดไม่ใช่เพื่อเช็คว่าเรารู้หรือไม่ว่าข้อผิดพลาดในประโยคที่ให้มาคืออะไร แต่เป็นการวัดว่าเราสามารถนำภาษาอังกฤษไปใช้จริงได้มากน้อยแค่ไหน ฉะนั้น หมดห่วงเรื่องท่องแกรมม่าหนัก ๆ ไปเปราะนึงนะคะ ยิ่งใครที่คุ้นชินกับการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ยิ่งสบายใจได้ระดับนึงเลย

  • รอบสอบมากกว่า

ถึงแม้ IELTS จะแพ้ไปในส่วนของจำนวนสนามสอบนะคะ แต่สำหรับรอบสอบ IELTS จัดให้แบบจุก ๆ เลย โดย paper based test ศูนย์ในกรุงเทพเปิดสอบเดือนละ 3-4 ครั้ง นี่ยังไม่รวม computer based ที่ เปิด ทุก วัน! (ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์) ในขณะที่ CU-TEP จะเปิดสอบเดือนละ 1-2 ครั้งค่ะ

  • ชิวเรื่องการแต่งกายมากกว่า

แน่นอนว่ายังไงผู้เข้าสอบทั้งสองการสอบก็ต้องแต่งตัวให้สุภาพในการจะไปสอบนะคะ อย่างไรก็ดี IELTS ไม่ได้มีกฎข้อห้ามตายตัวในเรื่องของการแต่งกายไปสอบค่ะ แต่ทาง CU-TEP นี่ พี่เพนนีแอบเห็นคนที่แต่งตัวเรียบร้อยแต่ดันใส่รองเท้าเปิดส้นไปสอบต้องเดินคอตกออกจากห้องมาแล้ว ดังนั้นใครที่ไม่อยากกังวลเรื่องการแต่งกายมาก ขอใส่ผ้าใบกับยีนส์ไปสอบได้ไหม IELTS คือคำตอบจ้ะ


คอร์ส CU-TEP/TU-GET

สุดท้ายนี้จะเห็นได้ว่าข้อดีที่พี่ยกมาในแต่ละการสอบสะท้อนข้อเสียของอีกฝ่ายได้ น้องๆ ลองเปรียบเทียบแล้วชั่งใจดูนะคะว่าแบบไหนถูกใจใช่เลยกว่ากัน ส่วนใครที่อยากได้เทคนิคไว้ใช้สอบให้ได้คะแนนเพื่อเข้าคณะที่ต้องการ ทาง InterPass ก็มีคอร์สทั้ง CU-TEP/TU-GET และคอร์ส Expert for IELTS สำหรับวันนี้พี่เพนนีขอฝากไว้เท่านี้นะจ๊ะ ขอให้ทุกคนโชคดีแล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่าา

—————————————————
InterPass ที่ 1 ด้านอินเตอร์ ✈️
สอบถามเพิ่มเติม Inbox : m.me/interpassinstitute
Tel:089-9964256, 089-9923965
Line : @InterPass


GED เข้าคณะไหนได้บ้าง Part3 รวม Past Papers BMAT, IMAT และ TSA ย้อนหลัง 10 ปี

Date : Jun 9, 2020

You May Like