“จะเรียน IELTS อย่างไร ให้สอบผ่านได้ในครั้งเดียว”
เนื่องจากว่า ข้อสอบ IELTS มีราคาค่อนข้างแพง สอบบ่อยๆ ก็คงจะไม่ไหวนะคะ ถ้าเราอยากเอาชนะคะแนนสอบ IELTS ให้ผ่านในครั้งเดียว ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดค่ะ เคยได้ยินกันมั้ยคะสำนวนที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” ดังนั้น เราจะมาชำแหละข้อสอบ IELTS กันค่ะว่ามีอะไรที่เราต้องเตรียมรับมือบ้าง ยิ่งรู้จัก IELTS ละเอียดแค่ไหน ยิ่งเอาชนะได้แค่นั้นค่ะ
ข้อสอบ IELTS จะมีทั้งหมด 4 Parts คือ Listening, Reading, Writing, และ Speaking เราจะมาเจาะลึกแบบละเอียดๆ กันทีละพาร์ทค่ะ

สิ่งที่ควรทำ
อ่านคำถามล่วงหน้า และทำเครื่องหมายเน้น keyword ในสิ่งที่จะได้ฟังไว้ เช่นถ้าโจทย์ให้คำว่า date:____ น้องๆต้องคิดไว้เลยว่าจะต้องฟังตัวเลขเป็นต้น
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
ในกรณีที่โจทย์บางส่วนเป็น multiple choice หลายๆข้อเรียงกัน น้องๆควรระวัง เรื่องเวลาให้มาก อาจจะอ่านโจทย์ไม่ทันได้ เพราะต้องอ่านทั้งโจทย์ และตัวเลือก ยาวๆอีก 4 ข้อ อย่างน้อยน้องๆ ควรอ่านโจทย์ให้หมดทั้งชุดก่อน แต่ยังเลือกไม่ ต้องอ่าน choice ก็ได้ค่ะ จะได้รู้ภาพรวมของคำถามว่าเป็นอย่างไร ก่อน หากเราไม่รู้ภาพรวม พอข้อหลังๆเราจะรู้สึกไม่มั่นใจ Listening Part มี 40 ข้อ เวลาสอบ 40 นาที แต่จริงๆแล้วจะฟังแค่ 30 นาที ส่วนอีก 10 นาทีที่เหลือจะเป็นเวลาที่ให้เราเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบค่ะ สิ่งที่สำคัญที่น้องๆต้องทราบคือข้อสอบจะแบ่งเป็น 4 ส่วน มีความยากขึ้นเรื่อยๆ 4 ส่วนที่ว่านั้นได้แก่
- Dialogue เป็นการคุยกันง่ายๆระหว่างคนสองคน เช่น การคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่างพนักงานจองตั๋ว กับผู้โดยสาร ในส่วนนี้ก็จะง่ายที่สุด
- Monologue เป็นการพูดของคนๆเดียว เช่นการพูดของดีเจ หรือไกด์ทัวร์เป็นต้น สำหรับพาร์ตนี้ก็จะยังไม่ยากเท่าไร
- Academic talk พอเริ่มส่วนนี้การคุยกันจะเป็นการสนทนาระหว่าง 2-3 คน อาจเป็นอาจารย์กับนักเรียนอีก 2 คนคุยกันเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับเนื้อหาการเรียน เช่นการสอบครั้งที่ผ่านมาเป็นต้น
- Lecture ในส่วนนี้จะเป็นการฟังเนื้อหาในห้องเรียน ก็จะเป็นการพูดของอาจารย์ยาวๆไปเลย ซึ่งเป็นส่วนที่ยากที่สุด
ชนิดของโจทย์: ข้อสอบ IELTS จะมีคำถามหลายประเภท เช่น เติมคำ เลือกคำตอบ a b c หรือจับคู่ เป็นต้น
วิธีการฟัง: ในแต่ละ section จะแบ่งออกเป็น section ละ 10 ข้อ ซึ่งโดยมากก็จะแบ่งเป็น 5 ข้อย่อย 2 ส่วน เทคนิคที่สำคัญที่สุดตรงนี้ก็คือน้องๆจะต้องอ่านโจทย์ล่วงหน้าก่อน โดยที่เขาก็จะบอกว่า “Before you begin the test, you have some time to look at questions 1 to 5” อย่างงี้เป็นต้น น้องๆบางคนชินกับการทำข้อสอบ CU-TEP ที่คำถามมาเป็นข้อๆ แต่อันนี้จะไม่เหมือนกันนะคะ ไม่ใช่ฟังทีละข้อ แล้วตอบทีละข้อ แต่น้องๆต้องอ่านคำถามล่วงหน้าทีละ 5 ข้อ (หรือตามเท่าที่โจทย์บอก) แล้วเทปก็จะเล่นไปเลยทีเดียว ซึ่งมีคำตอบข้อ 5 ข้อนั้นเลย น้องๆต้องฟังไปตอบไป
- ในการทำข้อสอบค่ะ
- ให้ระวังเรื่องของการเขียน capital letter กับการเติม s, es ในนามพหูพจน์นะคะ เช่นถ้าเป็น proper noun ต้องขึ้นด้วยตัวใหญ่ เช่น Bangkok, Oxford เป็นต้น ถ้าน้องๆพลาดตรงนี้ ได้ศูนย์คะแนนนะคะ

Reading Part มี 40 ข้อ เวลาสอบ 60 นาที พาร์ทนี้เราจะเจอบทความ 3 บทความ
ชนิดของโจทย์: เช่นกันค่ะ ข้อสอบจะมีทั้งแบบ Matching, True/False/Not Given, เติมคำในช่องว่าง และแบบ Multiple choice เป็นต้น
วิธีการอ่าน: แน่นอนว่าจะหนีวิธีการ skimming กับ scanning ไปไม่ได้เลย น้องๆจะต้องแยกประเภทโจทย์ให้ได้ว่าโจทย์แบบไหนถาม main idea และแบบไหนถาม detail แล้วเลือกทำข้อ detail ก่อน เมื่ออ่านจบค่อยทำคำถามแบบ main idea
เทคนิคที่สำคัญที่สุดตรงนี้ก็คือน้องๆต้องทำข้อสอบให้หมดทั้ง 3 passages
หลายๆคนบอกว่าทำไม่ทันจึงเลือกทำแค่ 2 passages และกะว่าเอาให้เต็มไปเลย แต่ในความเป็นจริงแล้วยากนะคะที่เราจะทำให้ได้ทุกข้อใน 2 passage ดังนั้นกระจายเวลามาทำ 3 passages ดีกว่าค่ะ อาจไม่ถูกทุกข้อ แต่รับรองว่า % การถูกมากกว่าทำแค่ 2 passages แน่นอน
สิ่งที่ควรทำ
- ทำให้หมด 3 passages โดยแบ่งเวลาดังนี้: เรื่องที่ง่าย 15 นาที เรื่องที่คิดว่ากลางๆ 20 นาที และเรื่องที่ยาก 25 นาที
- เลือกทำชนิดของโจทย์ที่ถนัดก่อน เช่นบางคนไม่ชอบทำโจทย์ประเภท matching heading to paragraph ก่อน เพราะคิดว่าต้องอ่านเยอะกว่า จะตอบได้ เป็นต้น
- หัดทำเครื่องหมายหา keywords ในโจทย์และตัวเลือกให้เก่ง คนที่ทำข้อสอบได้ดีคือคนที่หา keywords เร็ว เมื่อหา keywords ได้แล้วให้เอาไป match กับเนื้อเรื่องเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- อย่าอ่านเนื้อเรื่องก่อนอ่านคำถาม จะเป็นการเสียเวลามากๆ
- ข้อสอบ IELTS มักใช้การ paraphrase ดังนั้นถ้า choice ข้อไหนใช้คำตรงๆมักเป็นข้อผิด ให้ตัดทิ้งก่อนเลย

Writing Part มี 2 Tasks เวลาสอบ 60 นาที โดยข้อสอบจะแจกมาพร้อมกัน ดังนั้นน้องๆสามารถทำข้อสอบส่วนไหนก่อนก็ได้ค่ะ
ชนิดของโจทย์:
Task 1: ส่วนนี้เรียกว่า Data analysis จะมีลักษณะเป็นกราฟ, ตาราง, แผนที่, หรือแผนภูมิ มาให้เราเขียนอธิบายตามข้อมูลที่เห็น โดยกำหนดการเขียนอยู่ที่ 150 คำ
Task 2: ส่วนนี้จะเป็นการเขียนแสดงความคิดเห็น หรือโต้แย้งในประเด็นต่างๆ โดยกำหนดการเขียนส่วนนี้จะอยู่ที่ 250 คำ ค่ะ
วิธีการเขียน:
Task 1: สิ่งสำคัญคือการหา trend หรือแนวโน้มของกราฟให้เจอ อย่าเขียนทุกสิ่งที่เห็น แต่ให้รวบรวมข้อมูลแล้วสรุป แต่อย่าลืมว่าก็ต้อง cover สิ่งที่โจทย์ให้มาให้หมดนะคะ เช่น สมมติว่าโจทย์ให้เขียนถึงเงินที่แต่ละวัย ใช้ในการซื้อของใน 1 ปี มี เด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา น้องก็ต้องเขียนทั้ง 3 กลุ่มนี้ แต่ไม่ต้องเขียนข้อมูลของ 12 เดือน เป็นต้น
Task 2: น้องๆเขียนความเห็นของตัวเองลงไปได้ในนี้ เช่น I agree that….I disagree that….. สำคัญมากก็คือสิ่งที่น้องเขียนลงไปเราจะเรียกว่า topic sentence และในแต่ละ topic sentence ก็ต้องมี supporting argument ที่จะมาทำให้น่าเชื่อถือนะคะ เช่น สมมติว่า topic sentence คือ Children should not eat fast food. Supporting argument ก็คือ เช่น Fast food leads them to obesity in later years. เป็นต้น
เทคนิคที่สำคัญที่สุดตรงนี้ก็คือน้องๆต้องฝึกทำโจทย์ประเภทนี้เยอะมากๆ
หลายคนอาจกลัวส่วน IELTS writing ที่สุด และจากประสบการณ์พี่ ส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่น้องๆได้คะแนนกันยากที่สุดเช่นกัน แต่ว่าถ้าน้องๆหัดเขียน IELTS writing ทุกวัน สักวันละ 2 เรื่อง ต่อกันสัก 2 เดือน พี่ว่าคะแนนน้องขึ้นแน่นอน เพราะว่ามันก็มี pattern ของมันอยู่นะคะ เขียนไปสักพักน้องๆจะรู้สึกว่าคำศัพท์ที่ใช้เริ่มจะซ้ำของเดิม ลักษณะประโยคเช่นกัน นั่นก็คือน้องเริ่มเกิดความชำนาญแล้วค่ะ ซึ่งเมื่อไปในห้องสอบที่เวลาน้อยๆ ความชำนาญเป็นเรื่องสำคัญนะคะ ดังนั้นถ้าเรายิ่งซ้อมเยอะ เวลาไปสอบจริงน้องจะสบายแน่นอนค่ะ
สิ่งที่ควรทำ
- จำไว้ว่าควรทำ task 2 ก่อน เพราะคะแนนเยอะกว่า
- ควรเขียน outline ก่อนเสมอ อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเขียนเลย รับรองว่าคะแนนไม่ดีถ้าน้องยังไม่เก๋าจริง จะเขียนวนไปวนมา
- ส่งการบ้านทุกครั้งที่เขียน เขียนไปไม่มีคนตรวจ เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- เขียน task 1 ห้ามใส่ความเห็นส่วนตัวนะคะ
- ไม่ควรเขียนเยอะเกิน word limit เกินไปมากๆเพราะจะไปกินเวลาอีก task นะคะ task 1 ควรให้อยู่ใน 165 คำ และ task 2 เขียน 265 คำค่ะ

Speaking Part มี 3 ส่วน เวลาสอบประมาณ 15 นาที
ชนิดของโจทย์:
ส่วนที่ 1: จะเป็นการถามตอบเรื่องทั่วๆไป เช่น ประวัติส่วนตัว ครอบครัว หรือการเรียนค่ะ ส่วนนี้จะใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที
ส่วนที่ 2: ส่วนนี้จะเป็น Cue Card ในส่วนนี้ จะวัดความสามารถในการพูดยาวๆของเรา เช่น tell me about your last birthday และมีกำหนดว่าจะให้ตอบอะไรบ้างเช่น who came to your birthday, why it is memorable เป็นต้น จะให้เวลาคิดประมาณ 1 นาที พร้อมกระดาษและปากกา สำหรับให้เราจดโน้ตสั้นๆได้ และให้เราพูดตอบคำถามประมาณ 2 นาที
ส่วนที่ 3: ส่วนนี้จะเป็นการสนทนาค่ะ ผู้สัมภาษณ์จะสอบถามเราเพิ่มเติม เกี่ยวกับหัวข้อที่เราพูดไปในส่วนที่ 2 แต่จะมีความกว้างมากกว่า นั่นคือในส่วน 3 จะไม่ถามเรื่องของเราแล้ว สมมติว่าส่วน 2 ถามเรื่องวันเกิดเรา ส่วน 3 ก็จะถามเรื่อง celebration in your country แทน ส่วนนี้จะใช้เวลาประมาณ 4-5 นาทีในการสอบ
วิธีการพูด: น้องๆต้องจำไว้ว่าการสอบนี้เป็น semi-formal talk นะคะ ดังนั้นอย่าไปเกร็งมาก น้องๆสามารถที่จะพูดผิดได้บ้าง แต่ถ้าผิดบ่อยๆก็จะถูกหักคะแนนดังนั้นฝึกพูดที่บ้านบ่อยๆจะช่วยทำให้เกิดความชำนาญได้นะคะ
เทคนิคที่สำคัญที่สุดตรงนี้ก็คือเวลาให้คะแนน จะไม่ได้ดูเนื้อหาเป็นหลักนะคะ แต่จะดูความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของน้องๆ ดังนั้นน้องๆสามารถคิดเรื่อง ขึ้นมาเองได้เลย แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องแต่งก็ตามนะคะ อย่าไปนั่งนิ่งๆในห้องสอบ จะโดนหักคะแนนค่ะ
สิ่งที่ควรทำ
- ซ้อมๆๆๆๆๆ หลายๆคนกลัวว่าจะเข้าไปในห้องสอบแล้วพูดไม่ได้แต่จริงๆแล้วถ้าซ้อมบ่อยๆจะเกิดความชำนาญ และถ้าซ้อมบ่อยพอจะสามารถเอาเนื้อหามา recycle เหมือน writing เลยค่ะ เช่น น้องอาจจะซ้อมเรื่อง hobby มา แล้วน้องตอบว่า reading แต่อาจได้คำถามเรื่อง weekends ทำอะไร น้องก็อาจจะใช้คำตอบเดียวกันประยุกต์ได้ค่ะ
- ใช้ fillers หรือที่เรียกว่า discourse markers ต่างๆ เช่น Well,…. That’s right…… แบบนี้จะทำให้คำตอบของน้องดูลื่นไหลขึ้นนะคะ ถ้าคิดไม่ออกให้ใช้คำพวกนี้ไปด้วย
- การใช้ transition words เช่น Moreover, In contrast, For example จะช่วยทำให้ผู้ฟังเข้าใจประเด็นของน้องๆง่ายขึ้นค่ะ
- สำคัญมากที่ต้องมีคนฟังเราพูดเวลาซ้อม ดังนั้นแนะนำให้อัดเสียงตัวเองไว้ตอนซ้อม แล้วเปิดฟัง เพราะตอนพูดเราจะไม่ทราบว่าเราผิดอะไร แต่เมื่อฟังอีกครั้งจะรู้ค่ะว่า grammar ง่ายๆเราก็ผิดเหมือนกัน แล้วค่อยมาแก้ไขในส่วนที่เราผิดทีหลังนะคะ
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- อย่าใช้คำแสลงในการตอบคำถามนะคะ เช่น gonna, cool เป็นต้น เพราะการตอบคำถามนี้เป็น semi-formal ไม่ใช่ informal
- หลายๆคนคิดว่า part 1 ซึ่งเป็นเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ต้องซ้อมหรือเตรียมตัวก็ได้ น้องๆคิดผิดนะคะ เพราะความยาวของ part 1 ในแต่ละคำถามนี่ต้องยาวพอสมควรและบางคำถามต้องคิดล่วงหน้าไม่งั้นจะตอบได้สั้นๆ
สำคัญมากนะคะว่าการเรียน IELTS ที่ดีจะต้องมีคนตรวจให้น้องๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วน writing และ speaking จริงๆ น้องๆ สามารถตรวจ writing เองได้ เขียนทิ้งไว้แล้วอีกวันค่อยมาอ่าน ก็จะรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง แต่ถ้าเขียนจบแล้วอ่านเลยมักจะดูไม่ออก ส่วน speaking ก็อัดไว้ฟังเองได้ หรือให้เพื่อนช่วยฟังแล้ว comment ก็ได้นะคะ แต่ถ้าน้องๆต้องการ professional help ก็ให้มาลองเรียน IELTS กับพี่ๆ ที่ Interpass ดูนะคะ พวกเรามีทีมงาน academic team ที่จะช่วยน้องๆ ไม่ว่าจะเป็น comment writing ผ่านทาง email หรือการส่ง speaking IELTS ผ่านทาง LINE รับรองว่าน้องๆที่กำลังคิดว่าเรียน IELTS ที่ไหนดี ไม่ผิดหวังแน่นอน
สุดท้ายแล้วแม้เทคนิคจะช่วยเราได้ แต่ต้องอย่าลืมพยายาม และฝึกฝนด้วยตัวเองให้มากด้วยนะคะ เราจึงจะสามารถ “เอาชนะคะแนนสอบ IELTS ให้ผ่านได้ ในครั้งเดียว”