น้อง ๆ ม.ปลายหลายคน อาจกำลังเตรียมตัวพร้อมสู่การสอบ SAT ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มหาวิทยาลัยใช้ในการพิจารณาการรับเข้าศึกษา ยิ่งสอบได้คะแนนสูง โอกาสในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ต้องการก็มีมากขึ้น ดังนั้น หากน้อง ๆ คนไหนที่กำลังเตรียมตัวสอบ SAT และ ต้องการเพิ่มความมั่นใจในการสอบ วันนี้เรามีเทคนิคเรียน SAT ให้ได้คะแนนดี มาแนะนำ
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสอบ SAT
SAT ย่อมาจาก Scholastic Aptitude Test เป็นการทดสอบวัดความถนัดในวิชาคณิตศาสตร์ (Math) และ ภาษาอังกฤษ (Reading & Writing) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ใช้สำหรับยื่นเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยหลักสูตรอินเตอร์ โดยจะมีคะแนนเต็ม 1600 คะแนน ในปัจจุบัน การสอบ SAT ได้มีการปรับรูปแบบข้อสอบเป็นรูปแบบ Digital SAT
การสอบ SAT แบบเดิม กับ การสอบ Digital SAT แตกต่างกันอย่างไร?
เอาเรื่องความเหมือนกันก่อน คือยังมีคะแนนเต็ม 1600 คะแนนเหมือนเดิม สอบ 2 วิชาเหมือนเดิม นั่นก็คือ อังกฤษ และ คณิตศาสตร์ แต่สิ่งที่แตกต่างจากรูปแบบเดิมคือเป็นการทำข้อสอบที่จากเดิมเป็นรูปแบบกระดาษ เป็นรูปแบบออนไลน์ผ่าน Notebook, Tablet แต่ยังคงต้องเดินทางไปยังสนามสอบเหมือนเดิม แม้ปรับเป็นรูปแบบดิจิทัล และ ยังมีฟังก์ชันพิเศษเช่น Graphing Calculator, Test Timer, Mark for Review รวมถึงในพาร์ท SAT Math น้อง ๆ สามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ทุกข้อ เรียกได้ว่า การสอบ Digital SAT ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้สอบ และ การปรับเปลี่ยนเพื่อให้สะดวกแก่ผู้สอบ มากที่สุด สำหรับเนื้อหาการสอบจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
1. ข้อสอบ SAT Eng (800 คะแนน)
เป็นการทดสอบทักษะด้านการอ่าน และ การเขียน ในพาร์ท Reading จะเป็นการทดสอบความสามารถในการอ่าน และ ความเข้าใจข้อความ รวมถึงคำศัพท์ ความหมาย และ โครงสร้างของข้อความ ส่วนพาร์ท Writing จะเป็นการทดสอบการเขียน รวมถึงการใช้ไวยากรณ์ การใช้คำ โดยแนวข้อสอบ Digital SAT ในพาร์ท Reading & Writing ประกอบไปด้วย
- Passage ความยาว 25-150 คำ สำหรับการตอบคำถาม 1 ข้อ ต่อ 1 Passage
- Part คำถาม Bullet Point
- Short Stories + Poems
2. ข้อสอบ SAT Math (800 คะแนน)
เป็นการทดสอบทักษะคณิตศาสตร์ แบ่งออกเป็น 4 หมวดคือ
- Algebra เป็นการทดสอบทักษะแก้สมการ รวมถึงการสร้าง สมการ หรือ อสมการ โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่เหมาะสม
- Advanced Math เป็นการทดสอบทักษะการตีความ การจัดการกับค่าต่าง ๆ เช่น เลขชี้กำลัง พหุนาม กำลังสอง รวมถึงการวิเคราะห์ และ แก้สมการเชิงเส้น และ ไม่เชิงเส้น
- Problem Solving and Data Analysis เป็นการทดสอบทักษะการตีความข้อมูล
- Geometry and Trigonometry เป็นการทดสอบทักษะเกี่ยวกับปริมาณ พื้นที่ วงกลม สามเหลี่ยม ตรีโกณมิติ
โดยข้อสอบ Digital SAT Math ไม่มีพาร์ท No Calculator แล้ว สามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ รวมถึงสามารถใช้ Desmos Graphing Calculator ได้อีกด้วย โจทย์ปัญหาจะกระชับมากขึ้น รวมถึงการ Grid in ตัวเลข สามารถตอบติดลบได้เเล้ว
คะแนน SAT เกี่ยวข้องกับโอกาสในการศึกษาต่ออย่างไร?
คะแนน SAT มีบทบาทสำคัญในการพิจารณารับเข้าศึกษาต่อของมหาวิทยาลัยภาคอินเตอร์หลายแห่งในประเทศไทย เนื่องจากต้องใช้คะแนนสอบ SAT สูง อีกทั้งข้อสอบ SAT ไม่เป็นเพียงแค่การทดสอบความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ และ คณิตศาสตร์เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อสอบที่เน้นใช้ทักษะด้านการคิด (Thinking Skills) อีกด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่มหาวิทยาลัยที่เป็นภาคอินเตอร์ในไทย หลาย ๆ แห่ง ใช้ผลการสอบ SAT มาเป็นเกณฑ์พิจารณารับเข้าศึกษาต่อ
แล้วมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีคะแนน SAT ขั้นต่ำในการรับเข้าศึกษาต่ออย่างไร
ต้องบอกว่าคะแนน SAT ขั้นต่ำของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นขึ้นอยู่กับ มหาวิทยาลัย คณะ และ สาขาวิชา อย่างไรก็ตาม คะแนน SAT ไม่ใช่เพียงอย่างเดียวที่มหาวิทยาลัยใช้พิจารณารับเข้าศึกษาต่อ เพราะน้อง ๆ จะต้องมีผลงานทางด้านอื่น ๆ และ ความสามารถที่น่าสนใจเพื่อเพิ่มโอกาสในการรับเข้ามหาวิทยาลัยด้วย

ทำคะแนน SAT ให้พุ่งกระฉูด ด้วย 5 เทคนิคต่อไปนี้
น้อง ๆ หลายคนอาจรู้สึกกังวลกับการสอบ SAT ดังนั้นการเตรียมตัวให้ดีเพื่อเพิ่มโอกาสในการศึกษาต่อเป็นสิ่งสำคัญ นี่คือ 5 เทคนิคที่คุณสามารถใช้เพิ่มคะแนน SAT ให้กับน้อง ๆ ได้
1. เข้าใจโครงสร้างของคะแนน SAT
สิ่งแรกที่น้อง ๆ ควรทำคือเข้าใจโครงสร้างของคะแนน SAT ให้ดีว่าแบ่งออกเป็นกี่พาร์ท ซึ่งการสอบ SAT ในรูปแบบดิจิทัล จะมีเวลาสอบ 2 ชั่วโมง 14 นาที โดยข้อสอบจะถูกแบ่งออกมา 2 Modules ด้วยกัน โดย Module 1 ข้อสอบจะมีระดับความยาก ง่าย ปานกลาง ผสมกัน ซึ่งความยาก ง่าย ของ Module 2 ขึ้นอยู่กับผลงานการสอบที่น้อง ๆ ทำได้ใน Module 1 นะ
กล่าวคือ ถ้าน้อง ๆ ทำคะแนนสอบใน Module 1 มากกว่า 60% ใน Module 2 ก็จะได้ไปทำข้อสอบในรูปแบบ Hard Test ซึ่งจะมีโอกาสทำคะแนนตั้งแต่ 450 – 800 คะแนน แต่ถ้าคะแนนสอบไม่ถึง 60% ก็จะได้ไปทำข้อสอบในรูปแบบ Easy Test แทน โดยน้อง ๆ จะมีโอกาสทำคะแนนได้ตั้งแต่ 200 – 600 คะแนน
ซึ่งการทำความเข้าใจโครงสร้างข้อสอบจะช่วยให้น้อง ๆ สามารถวางแผนการ เรียน SAT รวมถึงวางแผนการทำข้อสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ฝึกทำข้อสอบเป็นประจำ
เป็นเทคนิคที่ช่วยฝึกฝนให้น้อง ๆ เข้าใจรูปแบบของข้อสอบในแต่ละพาร์ท ได้เห็นถึงรูปแบบข้อสอบทั้งจากวิชาคณิตศาสตร์ และ ภาษาอังกฤษที่สามารถปรากฏในการสอบได้บ่อย เป็นการสร้างความคุ้นเคย หรืออาจจะใช้วิธีทำข้อสอบ และ จับเวลาเหมือนลงสนามจริงไปเลยก็สามารถทำได้ และ อีกหนึ่งเทคนิคที่อยากแนะนำคือการฝึกทำแบบทดสอบ และ ข้อสอบเสมือนจริง กับ Interpass ที่มีให้ได้ลองทำ ลองฝึกฝน ประลองฝีมือ ก่อนลงสนามจริง
3. เตรียมความรู้ทั่วไป
การสอบ SAT ไม่ใช่การทดสอบความรู้ที่เรียนในห้องเรียนเท่านั้น แต่มีการทดสอบความเข้าใจ และ การประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง ดังนั้นน้อง ๆ ควรเตรียมความรู้ทั่วไปให้ดี โดยการอ่านหนังสือ เขียนบทความ หรือเขียนบทสรุปเกี่ยวกับเนื้อหาที่สนใจ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ และ ความเข้าใจในหลาย ๆ ด้าน
4. เรียนรู้เทคนิคการตอบคำถาม
เทคนิคการตอบคำถามจะช่วยให้ประหยัดเวลา และ เพิ่มโอกาสตอบคำถามได้ถูกต้อง โดยการสอบ Digital SAT จะมีระยะเวลาในการสอบทั้งหมด 2 ชั่วโมง 14 นาที โดยแต่ละพาร์ทมีระยะเวลาการสอบ และ จำนวนคำถามดังนี้
4.1 ข้อสอบ SAT Eng
- Module 1 : ข้อสอบจำนวน 27 คำถาม ระยะเวลาในการทำข้อสอบ 32 นาที
- Module 2 : ข้อสอบจำนวน 27 คำถาม ระยะเวลาในการทำข้อสอบ 32 นาที
4.2 ข้อสอบ SAT Math
- Module 1 : ข้อสอบจำนวน 22 คำถาม ระยะเวลาในการทำข้อสอบ 35 นาที
- Module 2 : ข้อสอบจำนวน 22 คำถาม ระยะเวลาในการทำข้อสอบ 35 นาที
จากระยะเวลา และ จำนวนคำถามนี้ แนะนำให้น้อง ๆ ควรบริหารจัดการเวลาให้ดี เพื่อให้การสอบเป็นไปได้อย่างราบรื่น
5. เตรียมตัวด้านภาษาอังกฤษ – คณิตศาสตร์ให้พร้อม
SAT เป็นข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ และ คณิตศาสตร์ ดังนั้น น้อง ๆ ต้องมีความรู้ และ ทักษะ ทั้ง 2 วิชานี้มาให้ดีพอ ฝึกฝนการอ่าน การเขียน การฟัง และ การพูดภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอรวมถึงการฝึกทำโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์
สำหรับน้อง ๆ บางคน การเตรียมตัวสำหรับการสอบ SAT อาจไม่ใช่เรื่องง่าย และ ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวอย่างมาก แต่การใช้เทคนิค และ กลยุทธ์ที่เหมาะสม ฝึกทำข้อสอบเก่าอย่างสม่ำเสมอ มีความพร้อม และวางแผนการเรียนรู้อย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้คะแนน SAT ที่สูงขึ้น เนื่องจากการสอบ SAT ในประเทศไทยจัดสอบ 7 ครั้ง/ปี ทำให้น้อง ๆ ได้มีโอกาสในการเลือกคะแนนสอบที่ดีที่สุด เพื่อนำไปยื่นเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ และ นอกจากเทคนิคต่าง ๆ ที่ได้แนะนำไปแล้วนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือการรักษาสุขภาพที่ดีมีผลต่อประสิทธิภาพในการเรียน และ สอบอย่างมาก เตรียมตัวด้วยการนอนพักให้เพียงพอ, ออกกำลังกาย, และ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เนื่องจากสุขภาพที่ดีจะช่วยเพิ่มสมรรถนะทางสมอง และ ความจำ ทำให้น้อง ๆ สามารถทำข้อสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับน้อง ๆ คนไหนที่อยากเพิ่มเติมเทคนิคดี ๆ ให้ได้คะแนน 1,400+ แบบทำได้จริง ไม่ขายฝัน ด้วยคอร์สเรียน SAT จาก Interpass ที่มีคอร์สเรียน SAT ที่เน้นไปที่ Thinking Skill ให้น้อง ๆ สามารถนำไปปรับใช้กับข้อสอบ SAT Eng และ SAT Math ได้อย่างเชี่ยวชาญ แถมเรียนได้ไม่อั้น ไม่จำกัดชั่วโมงเรียน ผ่านระบบ S.E.L.F. ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่นี่