หลายคนที่มีความฝันอยากเรียนต่อด้านการแพทย์ หรือทันตแพทย์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะการเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อาจเคยได้ยินเกี่ยวกับการสอบ UCAT กันมาบ้างแล้ว ซึ่งก็เป็นการสอบสำคัญที่จําเป็นต้องสอบให้ผ่านก่อน เพื่อที่จะได้ศึกษาต่อในสาขาเหล่านี้ แล้วการสอบ UCAT คืออะไร? ต้องสอบอะไร และเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ในบทความนี้จะมาไขข้อสงสัยให้กับน้องๆ ที่ต้องการศึกษาต่อแพทย์และทันตแพทย์ในต่างประเทศไปพร้อมๆ กัน
ทำความรู้จัก UCAT คืออะไร
University Clinical Aptitude หรือ UCAT คือการทดสอบความพร้อมด้านทักษะทางคลินิก สําหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในสาขาแพทยศาสตร์ และทันตแพทยศาสตร์ในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยเป็นการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และการตัดสินใจ ซึ่งคะแนน UCAT จะถูกใช้ในการพิจารณารับเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของอังกฤษหลายแห่ง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยชั้นนําด้านการแพทย์
UCAT, MCAT และ BMAT ต่างกันอย่างไร
UCAT คือการสอบสําหรับผู้ที่ต้องการสมัครเข้าศึกษาต่อแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกรรมในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งข้อสอบจะเป็นแบบปรนัยทั้งหมด แบ่งออกเป็น 5 ส่วน รวมทั้งหมด 228 ข้อ ใช้เวลาในการสอบ 2 ชั่วโมง โดยจะเน้นที่การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ และการแก้ปัญหา มีคะแนนรวมทั้งหมด 1,200-3,600 คะแนน
MCAT เป็นการสอบที่มีลักษณะคล้ายกันกับ BMAT แต่จะไม่ลงลึกในด้านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ใช้สําหรับสมัครเข้าเรียนแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยข้อสอบเป็นแบบปรนัย แบ่งออกเป็น 4 ส่วน จำนวน 230 ข้อ ใช้เวลาในการสอบ 6 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งจะมีทั้งความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยมีคะแนนรวมทั้งหมด 472-528 คะแนน
และสำหรับ BMAT นั้นเป็นการสอบที่ใช้สําหรับสมัครเข้าเรียนแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรรมในประเทศอังกฤษเช่นกัน โดยข้อสอบเป็นแบบปรนัย แบ่งออกเป็น 3 ส่วน รวมทั้งหมด 60 ข้อ (พาร์ตสุดท้ายเป็นข้อเขียน) เน้นทักษะการอ่าน การเขียน และความสามารถทางคณิตศาสตร์มากกว่าข้อสอบแบบ UCAT และ MCAT แต่จะใช้เกณฑ์การให้คะแนนเป็นเกรด A-E
เนื้อหาข้อสอบ UCAT มีอะไรบ้าง
ข้อสอบ UCAT ถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลักๆ โดยแต่ละส่วนจะมีการวัดความรู้ และความสามารถที่แตกต่างกันออกไป มาดูกันว่าเนื้อหาของข้อสอบ UCAT คืออะไรบ้าง
1. Verbal Reasoning
Verbal Reasoning เป็นส่วนที่ใช้วัดความสามารถด้านการอ่าน การทําความเข้าใจ และการหาความสัมพันธ์จากข้อมูลที่อ่าน รวมถึงความสามารถในการตีความ และการคิดเชิงเหตุผลจากบริบทต่างๆ โดยข้อสอบในส่วนนี้มีทั้งหมด 44 ข้อ ใช้เวลาในการทํา 21 นาที
ตัวอย่างข้อสอบ
- อ่านบทความสั้นๆ แล้วตอบคําถามที่เกี่ยวข้อง
- หาคําที่มีความหมายใกล้เคียงกับคําที่กําหนดให้
- อ่านแล้วประเมินว่าข้อความใดเป็นจริง หรือเท็จ
2. Decision Making
Decision Making เป็นส่วนที่วัดความสามารถในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลจากสถานการณ์ต่างๆ ที่กําหนดให้ ซึ่งข้อสอบในส่วนนี้มีทั้งหมด 29 ข้อ ใช้เวลาในการทํา 31 นาที
ตัวอย่างข้อสอบ
- อ่านโจทย์ที่เป็นสถานการณ์ แล้วเลือกตัดสินใจว่าควรทําอย่างไร
- พิจารณาข้อมูลที่กําหนดให้ แล้วเลือกตัดสินใจจากทางเลือกที่มี
- ประเมินทางเลือก และเลือกตัดสินใจให้ดีที่สุดจากสถานการณ์นั้นๆ
3. Quantitative Reasoning
Quantitative Reasoning ในส่วนนี้จะเน้นที่ความสามารถด้านตรรกะ ตัวเลข และการคํานวณ มีทั้งหมด 36 ข้อ ให้เวลาทํา 25 นาที
ตัวอย่างข้อสอบ
- การคํานวณพื้นฐาน เช่น บวก ลบ คูณ และหาร
- การแปลงหน่วยวัด
- การอ่านแผนภูมิ กราฟ แล้วตอบคําถาม
- การแก้สมการ หาค่าตัวที่ไม่ทราบค่า
- การหาความสัมพันธ์ของข้อมูลตัวเลขที่กําหนดให้
4. Abstract Reasoning
Abstract Reasoning เป็นส่วนที่ใช้เหตุผลเชิงนามธรรมเพื่อวัดความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ และหาข้อสรุปจากรูปแบบต่างๆ มีทั้งหมด 50 ข้อ ให้เวลาทํา 12 นาที
ตัวอย่างข้อสอบ
- หารูปแบบ หรือความสัมพันธ์จากชุดรูปภาพ แล้วเลือกตัวเลือกที่ต่อเนื่องกัน
- พิจารณาลักษณะความสัมพันธ์ในรูปแบบ แล้วเลือกรูปที่ต่อเนื่องถัดไป
- หาความเชื่อมโยง หรือความสัมพันธ์ของรูปภาพ จํานวน และสัญลักษณ์ที่กําหนดให้
5. Situational Judgement
Situational Judgement ในส่วนสุดท้ายนี้ จะใช้วัดความสามารถในการตัดสินใจ และแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงความเข้าใจในจริยธรรมทางการแพทย์ โดยมีทั้งหมด 69 ข้อ ให้เวลาทํา 26 นาที
ตัวอย่างข้อสอบ
- อ่านโจทย์ที่เป็นสถานการณ์ แล้วประเมินว่าควรตอบสนองอย่างไร
- เลือกวิธีจัดการกับปัญหาในสถานการณ์ที่กําหนดให้
- ประเมินทางเลือกในการตอบสนองต่อสถานการณ์ แล้วเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด
คะแนน UCAT เป็นอย่างไร
UCAT คือการสอบที่มีคะแนนรวมทั้งหมด 3,600 คะแนน โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
- Verbal Reasoning 300 – 900 คะแนน
- Decision Making 300 – 900 คะแนน (2 คะแนนต่อ 1 คำถาม)
- Quantitative Reasoning 300 – 900 คะแนน
- Abstract Reasoning 300 – 900 คะแนน
- Situational Judgement 1 – 4 คะแนน (1 คือสูงสุด 4 คือต่ำสุด)
โดยใน 4 ส่วนแรกจะมีสัดส่วนการให้คะแนนที่ 300-900 คะแนน ซึ่งจะมี 3 ส่วนที่จะได้รับ 1 คะแนนต่อ 1 คำถาม ยกเว้นในส่วนของ Decision Making ที่จะได้รับ 2 คะแนนต่อ 1 คำถาม และสำหรับส่วนสุดท้ายคือ Situational Judgement จะต่างจากส่วนอื่น โดยจะใช้เกณฑ์การให้คะแนนเป็น 1 ถึง 4 คะแนนนั่นเอง
โดยทั่วไปแล้ว คะแนนเฉลี่ยที่ดีในแต่ละส่วนจะอยู่ที่ 650 คะแนนต่อพาร์ต แต่ถ้าหากทำได้มากกว่า 680 คะแนนต่อพาร์ตจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก แต่อย่างไรก็ตาม คะแนนที่ดีก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันที่จะนําไปใช้พิจารณาด้วยเช่นกัน ดังนั้น น้องๆ ทุกคนจึงควรตั้งเป้าหมายให้สูงสุดเท่าที่จะทําได้นั่นเอง
มหาวิทยาลัยที่ต้องใช้คะแนน UCAT
หลังจากที่ได้รู้กันแล้วว่า UCAT คืออะไร และมีเกณฑ์การกำหนดคะแนนอย่างไร มาดูกันต่อดีกว่าว่า มหาวิทยาลัยที่ต้องใช้คะแนน UCAT มีที่ไหนบ้าง โดยสำหรับมหาวิทยาลัยที่นิยมใช้คะแนน UCAT ในการพิจารณารับนักศึกษา สามารถแบ่งตามสาขาได้ดังนี้
สาขาแพทยศาสตร์
- University of Oxford
- University of Cambridge
- Imperial College London
สาขาทันตแพทยศาสตร์
- King’s College London
- University of Bristol
- University of Liverpool
นอกจากนี้ ยังมีมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกมากมายที่ใช้คะแนน UCAT ในการพิจารณา ซึ่งสามารถดูรายชื่อเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ UCAT Requirements for Medical, Dental and Physician Associate Courses
เตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการสอบ UCAT
สำหรับการเตรียมตัวเพื่อการสอบ UCAT บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธีเตรียมความพร้อมในการสอบในแต่ละปีมาไว้ที่นี่แล้ว จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน!
กำหนดการสอบ UCAT
โดยทั่วไปแล้ว UCAT จะเปิดรับสมัครช่วงเดือนพฤษภาคม และจะทำการจัดสอบระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ซึ่งช่วงเวลาที่เปิดสอบจะมีหลายช่วงให้เลือก เมื่อลงทะเบียนสอบแล้ว สามารถเลือกวัน และเวลาสอบที่เหมาะสมกับตัวเองได้ แต่สิ่งสำคัญคือน้องๆ จะต้องยื่นใบสมัครภายในระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากสิทธิ์สำหรับนักเรียนแพทย์มีจำนวนจำกัด จึงอาจต้องรีบจองที่นั่งให้ทัน โดยกำหนดการส่งใบสมัครสาขาแพทย์จะต้องยื่นภายในวันที่ 15 ตุลาคมของทุกปี
วิธีสมัครสอบ UCAT
วิธีสมัครสอบ UCAT มีขั้นตอน ดังนี้
- ตรวจสอบคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์สมัครสอบ โดยต้องเป็นผู้ที่กําลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า (อาจจะเป็น A-Levels, IB หรือวุฒิการศึกษาอื่นๆ ที่เทียบเท่า)
- ลงทะเบียนสมัครสอบทางเว็บไซต์ของ UCAT โดยกรอกข้อมูลส่วนตัว ชําระค่าธรรมเนียมการสมัคร
- เลือกวัน และสถานที่สอบที่สะดวกกับตัวเอง
- หลังชําระเงินแล้วจะได้รับอีเมลยืนยันการลงทะเบียน พร้อมบัตรประจําตัวในการสอบ
- ศึกษาคู่มือการสอบ และกฎระเบียบต่างๆ ให้เข้าใจ
- เตรียมตัวสอบให้พร้อม และพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันสอบจริง
เตรียมตัวสำหรับวันสอบ UCAT
มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ควรเตรียมไปในวันสอบ เพื่อให้พร้อมสําหรับการสอบอย่างเต็มที่
- มาถึงสนามสอบก่อนอย่างน้อย 15 นาที
- แสดงบัตรประจําตัวการสอบ หนังสือเดินทาง หรือบัตรประจําตัวประชาชน เพื่อใช้ในการระบุตัวตน
- อุปกรณ์เครื่องเขียนสำหรับใช้ทําข้อสอบ
- ยา หรือสิ่งของที่จําเป็น เผื่อในกรณีฉุกเฉิน
สถานที่สอบ UCAT
สถานที่สอบ UCAT ส่วนใหญ่จะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนําทั่วประเทศไทย ซึ่งห้องสอบจะเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ มีโต๊ะสําหรับนั่งสอบเรียงตามแถว มีระยะห่างพอสมควร เพื่อป้องกันการทุจริต นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด และห้ามนําสิ่งของเข้าห้องสอบนอกเหนือจากที่อนุญาต โดยสถานที่สอบจะเป็นตามมาตรฐาน เพื่อให้การสอบเป็นไปอย่างยุติธรรม และโปร่งใสที่สุดนั่นเอง
เคล็ด (ไม่) ลับ! เตรียมตัวสอบ UCAT อย่างไรให้คะแนนปัง
สำหรับใครที่อยากทำคะแนน UCAT ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มเตรียมตัวอย่างไร บทความนี้มีเคล็ดลับการเตรียมตัวสอบมาฝากกัน ไปดูกันเลย!
1. วางแผนการเตรียมตัวล่วงหน้าให้ดี
การวางแผนเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้น้องๆ ได้ฝึกฝนตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ดียิ่งขึ้น โดยเริ่มจากการกําหนดเป้าหมายการสอบ เช่น ตั้งเป้าหมายคะแนนที่ต้องการในแต่ละส่วน เป็นต้น
2. ทำความรู้จักข้อสอบ
การทําความรู้จักกับข้อสอบ UCAT ก่อนวันสอบจริงถือเป็นเรื่องสําคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยให้น้องๆ มีความมั่นใจ และสามารถสอบได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงช่วยให้สามารถจัดสรรเวลาในการเตรียมตัวแต่ละวิชาให้เหมาะสมได้อีกด้วย โดยอาจเริ่มจากการศึกษารูปแบบข้อสอบแต่ละประเภทอย่างละเอียด ทําความเข้าใจกติกา วิธีการตอบ หรือศึกษาเทคนิคการตอบข้อสอบแต่ละประเภทอย่างเจาะลึก
4. ลองทำข้อสอบ UCAT
การลองทําข้อสอบ UCAT จะช่วยให้น้องๆ สามารถเตรียมความพร้อมสําหรับการสอบจริงได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มจากการลองทำข้อสอบที่มีในเว็บไซต์ https://www.ucat.ac.uk/prepare/practice-tests/ เพื่อทดสอบความพร้อมของตัวเอง หรือหาแหล่งข้อสอบจําลองออนไลน์จากเว็บไซต์ และหนังสือต่างๆ ซึ่งควรเน้นในส่วนที่คิดว่าเป็นจุดอ่อนของตัวเองให้มากกว่าส่วนอื่นๆ
5. แก้ไขข้อบกพร่องจากข้อสอบเก่าๆ
การแก้ไขข้อบกพร่องจากการทําข้อสอบเก่าๆ จะช่วยให้น้องๆ ได้พัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถพัฒนาความสามารถได้เร็วขึ้นอีกด้วย โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ทบทวนข้อสอบที่ทําผิด แล้ววิเคราะห์หาสาเหตุที่ทําผิด
- ศึกษาเนื้อหาส่วนที่ยังไม่เข้าใจให้เข้าใจมากขึ้น
- ค้นหาแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น หนังสือ และคลิปออนไลน์ เป็นต้น
- ลองทําข้อสอบชุดเดิมใหม่อีกครั้งเมื่อได้เรียนรู้เพิ่มเติม และแก้ไขส่วนที่บกพร่องแล้ว
- บันทึกความก้าวหน้าของตนเอง
6. ประเมินตนเอง
การประเมินตนเองระหว่างการเตรียมตัวสอบ UCAT ถือเป็นสิ่งสําคัญอย่างมาก เพราะการประเมินตนเองจะช่วยให้น้องๆ มองเห็นจุดบกพร่อง และพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
- ทําแบบทดสอบก่อน-หลังเรียนเพื่อวัดความก้าวหน้า
- วิเคราะห์จุดแข็ง และจุดอ่อนของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
- เปรียบเทียบผลการทําข้อสอบแต่ละครั้งว่าดีขึ้นหรือไม่
- ตั้งเป้าหมายการพัฒนาตนเองในแต่ละส่วน
สรุป
University Clinical Aptitude หรือ UCAT คือการทดสอบความพร้อมด้านทักษะทางคลินิก สําหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในสาขาแพทยศาสตร์ และทันตแพทยศาสตร์ในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยเป็นการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ ซึ่งคะแนน UCAT นี้จะถูกใช้ในการพิจารณารับเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนําด้านการแพทย์ของอังกฤษหลายๆ แห่ง ซึ่งการเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบ UCAT ที่จะเปิดรับสมัครสอบช่วงเดือนพฤษภาคม และจะทำการจัดสอบระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน สิ่งสำคัญคือจะต้องยื่นใบสมัครภายในระยะเวลาที่กำหนด และตรวจสอบคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์สมัครสอบให้เรียบร้อย
สำหรับใครที่อยากเรียนต่อหมอในไทย และต่างประเทศ สามารถปรึกษาเรื่องการเตรียมความพร้อม คะแนนสอบ รวมถึงข้อมูลในการศึกษาต่อที่ต่างประเทศกับ InterPass ได้ เพราะที่นี่มีหลักสูตรที่เนื้อหาแน่น ครอบคลุม และพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ ช่วยให้น้องๆ ได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และเตรียมตัวสำหรับการเรียนต่อต่างประเทศได้อย่างมั่นใจแน่นอน