BLOG

    Home Blog Highlight เปิด 7 เทคนิคการเดาข้อสอบอังกฤษขั้นเซียน

เปิด 7 เทคนิคการเดาข้อสอบอังกฤษขั้นเซียน

เทคนิคการเดาข้อสอบภาษาอังกฤษ

น้องๆ หลายคนคงเคยเจอปัญหาในการทำข้อสอบที่คิดแล้วแต่ไม่รู้คำตอบแน่ชัด ทำให้จำเป็นต้องเดา สำหรับน้องบางคนอาจจะเคยเดาโดยไม่มีหลักการ เพียงสุ่มเลือกคำตอบสักข้อให้ผ่านไป ซึ่งอาจจะมีโอกาสที่เดาถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่สำหรับน้องๆ คนใดที่ไม่อยากเดาส่งๆ ให้เสียคะแนน การนำเทคนิคการทำข้อสอบภาษาอังกฤษ โดยการเดาอย่างมีหลักการมาปรับใช้ อาจช่วยเพิ่มคะแนนสอบให้ดีขึ้นได้ ซึ่งวันนี้พี่ๆ Interpass ได้นำ 7 เทคนิคการเดาข้อสอบอังกฤษระดับเซียนมาฝากกัน! 

เริ่มต้นจากการตัดช้อยส์

1. เริ่มต้นจากการตัดช้อยส์

เทคนิคที่ 1 เริ่มด้วยการตัดช้อยส์ การตัดช้อยส์ถือเป็นเทคนิคการเดาข้อสอบภาษาอังกฤษที่สำคัญ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการหาคำตอบที่ถูกต้องเลยก็ว่าได้! เนื่องจากการตัดช้อยส์ทำให้น้องๆ มีโอกาสตอบถูกมากยิ่งขึ้น เช่น หากน้องๆ ตัดช้อยส์ไปได้ 2 ช้อยส์ จาก 4 ช้อยส์ น้องๆ ก็จะมีโอกาสตอบถูกถึง 50:50 นั่นเอง โดยน้องๆ สามารถลองตัดช้อยส์ได้จากวิธี ดังนี้

  • ไม่ควรเลือกข้อที่คำตอบสั้นมากเกินไป 
  • ไม่ควรเลือกข้อที่แสดงความสุดโต่งเกินไป เช่น มีคำว่า Absolutely, Completely, All และ Only เป็นต้น
  • หากช้อยส์ในข้อสอบไปในทางเดียวกันหมด เช่น มีความหมายเชิงลบเกือบทุกช้อยส์ ให้เลือกช้อยส์ที่แตกต่างออกไปที่สุด
  • ถ้ามีช้อยส์ปฏิเสธเพียงข้อเดียว มีโอกาสที่ช้อยส์นั้นจะผิด 
  • สำหรับพาร์ทบทสนทนา ให้เลือกตอบข้อที่ใช้ภาษาทั่วไปแบบภาษาพูด ไม่ใช้ภาษาชั้นสูงสำหรับงานเขียน ให้เลือกเดาข้อที่อ่านแล้วลื่นไหล หรือข้อที่ไม่ได้ใช้คำศัพท์ที่ยากเกินไป

ซึ่งเทคนิคการตัดช้อยส์แบบนี้ ควรใช้ในกรณีที่ต้องเดาแล้วเท่านั้น ไม่สามารถหาวิธีการอื่นต่อไปได้ ดังนั้นแนะนำให้น้องๆ ลองอ่านแล้วตัดช้อยส์ที่น่าจะผิดมากที่สุดออกก่อน แล้วพิจารณาอีก 6 เทคนิคการเดาข้อสอบภาษาอังกฤษที่เหลือให้หมดก่อน ถึงจะมาเดาข้อสอบจากวิธีข้างต้น

ดูบริบทของเนื้อหาทั้งหมด

2. ดูบริบทของเนื้อหาทั้งหมด

เทคนิคที่ 2 ดูบริบทของเนื้อหาทั้งหมดก่อน เทคนิคการเดาข้อสอบภาษาอังกฤษนี้เหมาะกับการทำข้อสอบพาร์ท Reading เป็นอย่างมาก เพราะในการทดสอบพาร์ทการอ่าน มักมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างยาว หากใช้เวลาอ่านเนื้อหาทั้งหมดก่อน จะเสียเวลาทำข้อสอบพาร์ท ดังนั้นน้องๆ ต้องเข้าใจก่อนว่า ปกติคำถามในพาร์ทการอ่าน มักถามถึงใจความหลักของเรื่องว่าคืออะไร? ข้อใดแตกต่างจากพวก? เนื้อหาเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นคุณค่าด้านไหน? เป็นต้น ซึ่งพาร์ท Reading เองก็แบ่งออกเป็นพาร์ทย่อยพวก Conversation, Long Passage อีกด้วย

  • พาร์ท Conversation เป็นบทสนทนายาวๆ ที่มักโต้ตอบกันไปมาตั้งแต่ 2 คน จนถึง 3-4 คนขึ้นไป ซึ่งน้องๆ จะต้องดูบริบทของเนื้อหา และลองนำช้อยส์ที่มีไปใส่ลงในช่องว่างดูว่าความหมายมันเข้ากันหรือไม่ 

ยกตัวอย่างคำถาม เช่น ในเนื้อหาเล่าว่า A จะไปเจอ B วันพรุ่งนี้แทน เนื่องจากวันนี้เธอติดประชุมด่วน ซึ่งคำถามของข้อนี้ คือ Which one is true? 

  1. A cannot go to meet B, because she does not want to see B.
  2. A hates B.
  3. A cannot go to meet B today, because she has an urgent meeting.

จะต้องตอบข้อ C เนื่องจาก A ติดประชุม A จึงไม่สามารถไปเจอกับ B ได้ และควรลองตัดข้อ B  ออก เนื่องจากประโยคค่อนข้างสั้นมาก โอกาสที่เป็นช้อยส์หลอกมีสูง

แยกประเภทบทความให้เป็น

3. แยกประเภทบทความให้เป็น

เทคนิคที่ 3 แยกประเภทบทความให้เป็น! บทความที่มักนำมาออกสอบภาษาอังกฤษ ส่วนมากเป็นบทความประเภทบทความข่าวสาร การทดลองวิทยาศาสตร์ ประกาศโฆษณา เป็นต้น น้องๆ ต้องลองแยกประเภทบทความดูก่อนว่าบทความที่เจอนั้นเป็นบทความประเภทใด ซึ่งประเภทบทความมักแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้

  • บทความแบบสั้น เมื่อเจอบทความแบบสั้นสามารถใช้เทคนิคการกวาดตามองรอบๆ ก่อน เพื่อพยายามหา Keywords ที่สำคัญ โดยเริ่มจากการอ่านคำถามก่อน แล้วจึงกลับมาอ่านเนื้อหาส่วนที่ต้องนำไปตอบคำถาม
  • บทความแบบยาว ปกติจะมีเนื้อหายาวประมาณ 2 หน้ากระดาษ หากเลือกที่จะอ่านบทความทั้งหมดจะเสียเวลาทำข้อสอบไปเปล่าๆ ดังนั้นควรอ่านคำถามก่อน แล้วเลือกอ่านเฉพาะส่วนที่เป็นใจความสำคัญในแต่ละย่อหน้า โดยปกติแล้วบทความยาวจะเน้นไปที่การวัดความเข้าใจ อ่านคิดวิเคราะห์ หาแก่นเรื่องหลักของบทความนั้นๆ หรือหาว่าช้อยส์ข้อใดถูก ข้อใดผิด จึงควรโฟกัสไปที่ส่วนสำคัญของแต่ละย่อหน้าเพื่อหาคำตอบ ยกตัวอย่างคำถามที่มักออกสอบบ่อย เช่น
    • Who is speaking in text? ใครเป็นคนพูดถึงเนื้อหาเหล่านี้?
    • What is the text about? เรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
    • What happens in the text? เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น?
    • What is the author not saying? สิ่งใดบ้างที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง?
    • What is the best conclusion of this passage? ข้อสรุปที่ดีที่สุดของเนื้อหาเรื่องนี้คืออะไร?
 จับคู่คำเชื่อมให้แม่น

4. จับคู่คำเชื่อมให้แม่น

เทคนิคที่ 4  จับคู่คำเชื่อมให้แม่น คำเชื่อมเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ออกข้อสอบบ่อยมากๆ ไม่ว่าจะเป็นคำเชื่อมที่แสดงความขัดแย้ง คำเชื่อมที่บอกเหตุผล หรือคำเชื่อมที่ท่องกันติดปากว่า F A N B O Y S ประกอบไปด้วย For, And, Nor, But, Or, Yet และSo รวมถึงคำเชื่อมที่มาเป็นคู่ๆ เช่น Both…And หรือ Either…Or เป็นต้น ซึ่งในข้อสอบมักให้ช้อยส์ที่หลากหลาย น้องๆ สามารถตัดช้อยส์บางอันออกไปก่อนได้เลย ยกตัวอย่าง ดังนี้

  • การใช้คำเชื่อมพวก And และ But ให้จำว่า And จะตามด้วยประโยค หรือบริบทที่กล่าวไปในทำนองเดียวกัน แต่ But จะใช้กับประโยคที่ตรงกันข้ามกับประโยคก่อนหน้า ซึ่งหากเจอประโยคแรกที่กล่าวถึงเรื่องในแง่บวก And แล้วตามด้วยเรื่องลบ ให้เดาไว้ก่อนเลยว่าช้อยส์นี้ มีโอกาสเป็นช้อยส์หลอกสูง! 
    • ประโยคความหมายเชิงบวก + and + ประโยคตามมาความหมายเชิงลบ เช่น I love my cat (ความหมายเชิงบวก) and she hates me. (ความหมายเชิงลบ) 

หากเจอช้อยส์แบบนี้ให้ตัดออกได้เลย เพราะสื่อความหมายให้สับสน ไม่เหมาะกับการใช้ And เป็นคำเชื่อมในประโยค จะแปลได้ว่า ฉันรักแมวของฉัน และแมวเกลียดฉัน 

  • ประโยคความหมายเชิงบวก + and + ประโยคตามมาความหมายเชิงบวก (มีโอกาสเป็นช้อยส์ถูก ให้เทียบความหมายกับช้อยส์อื่นๆ เพิ่มเติม) เช่น I love my cat (ความหมายเชิงบวก) and she loves me too. (ความหมายเชิงบวก) 
  • ประโยคความหมายเชิงบวก + but + ประโยคตามมาความหมายเชิงลบ (มีโอกาสเป็นช้อยส์ถูก ให้เทียบความหมายกับช้อยส์อื่นๆ เพิ่มเติม) เช่น I love my cat (ความหมายเชิงบวก) but she hates me. (ความหมายเชิงลบ)
  • ประโยคความหมายเชิงบวก + but + ประโยคตามมาความหมายเชิงบวก เช่น I love my cat (ความหมายเชิงบวก) but she loves me too. (ความหมายเชิงบวก) หากเจอช้อยส์แบบนี้ให้ตัดช้อยส์ออกได้เลย เพราะสื่อความหมายให้งงกว่าเดิม คำเชื่อม But แปลว่า แต่ แปลประโยคออกมาจะแปลว่า ฉันรักแมวของฉัน แต่แมวก็รักฉันเช่นเดียวกัน 
สังเกต Keywords ให้ดี เป็นอีกหนึ่งเทคนิคการเดาข้อสอบอังกฤษที่สำคัญ

5. สังเกต Keywords ให้ดี 

เทคนิคที่ 5 สังเกต Keywords ให้ดี เป็นอีกหนึ่งเทคนิคการเดาข้อสอบอังกฤษที่สำคัญ โดยให้พยายามจำคำศัพท์ที่เป็น Keywords เป็นหมวดๆ เพื่อหาคำที่มีความหมายเหมือน หรือใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่าง ดังนี้

  • กลุ่มคำศัพท์ที่เป็นการยกตัวอย่าง เช่น For example, For instance, Including, Such as
  • กลุ่มคำศัพท์ที่เป็นการแนะนำ เช่น Advice, Suggestion, Recommendation, Guidance 
  • กลุ่มคำศัพท์ที่มีความหมายในเชิงตรงกันข้าม เช่น However, Although, Even though
  • กลุ่มคำศัพท์ที่มักใช้ขยายคำนิยาม หรือความหมายของคำ เช่น Called, Know as, Define as, Refer to 

ซึ่งเมื่อเจอบทความที่เป็น Long Passage ให้น้องๆ โฟกัสที่การหา Keywords เพื่อตอบคำถามได้เลย เช่น 

คำถาม: Which one is the best suggestions about ________ are given to the wife-to-be?

บริบทกล่าวถึง: Many guests come to the bride and the groom to give a good advice to them…

ซึ่งโดยปกติแล้วนั้น Keywords ที่อยู่ในคำถาม มักจะปรากฎอยู่ในบริบทด้วย แต่มักใช้คำศัพท์คนละแบบ แต่มีความหมายเหมือนกัน ซึ่งจากข้อคำถามจะเห็นว่ามีคำว่า Suggestions ซึ่งมีความหมายเหมือนกับคำว่า Advice ในบริบท และ Wife-to-be มีความหมายเดียวกับคำว่า Bride นั่นเอง 

เครื่องหมายในภาษาอังกฤษถือว่ามีความสำคัญ

6. อย่าลืมดูเครื่องหมาย 

เทคนิคที่ 6 อย่าลืมดูเครื่องหมาย เครื่องหมายในภาษาอังกฤษถือว่ามีความสำคัญ เทคนิคการเดาข้อสอบอังกฤษจึงควรสังเกตเครื่องหมายในประโยคไว้ก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมาย Comma (,), Colon (:), Semicolon (;),  Dash (-) และ Parenthesis ( ) ซึ่งเครื่องหมายเหล่านี้ ให้จำไว้เลยว่าหลังเครื่องหมายมักเป็นส่วนขยาย อาจช่วยขยายความหมายของศัพท์ที่น้องๆ ไม่รู้ก็เป็นได้ ยกตัวอย่าง เช่น 

  • This kitten was so cute, so we wanted to take it to our dormitory. แปลว่า ลูกแมวตัวนี้น่ารักมาก ดังนั้นพวกเราเลยอยากพามันกลับไปที่หอพักด้วย (เครื่องหมาย Comma ทำหน้าที่ขยายประโยคต่อไปว่าเพราะแมวน่ารัก พวกเราจึงอยากพา(ลูกแมว)กลับไปด้วย)
  • There are many reasons for your poor writing score: lack of preparation, misuse of punctuation masks, and misuse of English words. แปลว่า มีเหตุผลต่างๆ มากมายที่ทำให้คะแนนการเขียนของคุณได้คะแนนน้อย ทั้งขาดการเตรียมตัว การใช้เครื่องหมายที่ผิด และการใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ผิดความหมาย (เครื่องหมาย Colon ทำหน้าที่ขยายเหตุผลต่างๆ ว่าเพราะสาเหตุใดบ้างที่ทำให้ได้คะแนนการเขียนน้อย)
  • I like your mother; she is very kind. แปลว่า ฉันชอบแม่ของคุณ แม่ของคุณใจดีมากเลย (เครื่องหมาย Semicolon ทำหน้าที่ขยายเหตุผลเพิ่มเติมจากประโยคแรกว่าทำไมถึงชอบแม่ ซึ่งเป็นเพราะว่าแม่ใจดีนั่นเอง)
  • Contact your project advisor-Prof. Matthew Scott- for this problem แปลว่า ติดต่อที่ปรึกษาโปรเจคของคุณ ศาสตราจารย์แมธธิว สก็อต สำหรับปัญหานี้ (มีการใช้ dash แบบสองขีด ทั้งหน้าและหลัง โดยใช้ประกบวลีเพื่อขยายความหมาย) 
  • I need only 3 ingredients for cooking-pork, egg and flour. แปลว่า ฉันต้องการวัตถุดิบแค่ 3 อย่างเท่านั้นในการทำอาหาร คือ เนื้อหมู ไข่ และแป้ง (มีการใช้ dash แบบขีดเดียว เพื่อขยายความหมาย แจ้งรายละเอียด เน้นย้ำในจุดที่ต้องการจะสื่อ)
  • I will go to Bangkok (with my family) and will come back at the end of this year. แปลว่า  ฉันจะไปกรุงเทพ (กับครอบครัวของฉัน) และจะกลับมาในช่วงสิ้นปีนี้ (มีการใช้ Parenthesis เพื่อขยายความ หรือบอกข้อมูลเพิ่มเติมที่ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก)  
เดาจากคำศัพท์ที่รู้ และท่องศัพท์ให้ขึ้นใจ 

7. เดาจากคำศัพท์ที่รู้ และท่องศัพท์ให้ขึ้นใจ 

เทคนิคที่ 7 เลือกเดาจากคำศัพท์ที่รู้ และท่องศัพท์ให้ขึ้นใจ แน่นอนอยู่แล้วว่าการรู้ศัพท์เยอะๆ นั้นดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะการรู้ความหมายของศัพท์สามารถช่วยให้เข้าใจสิ่งที่ข้อสอบถามได้ถูกต้อง ดังนั้นยิ่งรู้คำศัพท์มาก ยิ่งได้เปรียบ แต่เมื่อเจอคำศัพท์ที่ไม่รู้ความหมาย น้องๆ จะต้องใช้เทคนิคการเดาศัพท์ โดยใช้ข้อความในบริบทโดยรอบเดาความมหายที่เป็นไปได้ รวมถึงต้องพยายามท่องศัพท์ให้ขึ้นใจ และคัดซ้ำๆ หรือลองทำสมุดศัพท์ เพื่อช่วยให้สามารถจดจำได้ดีขึ้น สำหรับผู้ที่อยากได้ตัวช่วยในการจำศัพท์ ขอแนะนำเทคนิค Memologic ของ Interpass ที่ใช้คอนเซ็ปต์ Memory + Logic คือ การนำตรรกะมาใช้ในความเข้าใจจนนำไปสู่การจดจำคำศัพท์ ซึ่ง Memologic ช่วยให้น้องๆ จดจำคำศัพท์ได้มากขึ้น สนุก ไม่เครียด

ไม่อยากเดาข้อสอบทำยังไ

ไม่อยากเดาข้อสอบทำยังไงดี? พี่ๆ InterPass ช่วยได้!

สำหรับน้องๆ ที่รู้สึกว่าไม่อยากใช้เทคนิคการเดาข้อสอบอังกฤษเลย อยากจะทำข้อสอบได้อย่างมั่นใจจะต้องทำอย่างไร? พี่ๆ Interpass พร้อมช่วยน้องๆ กับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษชั้นนำที่จะช่วยอัพสกิลภาษาอังกฤษอย่างเต็มที่! โดยขอแนะนำคอร์สที่น่าสนใจ ดังนี้

  • Pre-Inter คอร์สเรียนปรับพื้นฐานทางภาษาอังกฤษของ Interpass ที่ช่วยให้น้องๆ เข้าใจพื้นฐานภาษาอังกฤษตั้งแต่ Grammar, Reading, Vocabulary, Listening, Writing และเผยเทคนิคการทำสอบภาษาอังกฤษแบบไม่มีกั๊ก เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการปรับพื้นฐานหรือน้องๆ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ต้องการเตรียมสอบภาษาอังกฤษต่างๆ เช่น IELTS, SAT CU-TEP, GED หรือ TOEFL เป็นต้น เพราะคอร์สนี้รวบรวมเนื้อหาที่จำเป็นต้องรู้อย่างครบถ้วน พร้อมเคล็ดลับดีๆ ไว้อีกมากมาย ตลอดระยะเวลาการเรียน 60 ชั่วโมง ในราคาเรียนออนไลน์สุดพิเศษเพียง 10,000 บาทเท่านั้น
  • Boost Up Reading & Vocabulary คอร์สเพิ่มคลังคำศัพท์พร้อมเทคนิคการอ่าน โดยรวมเนื้อหาจัดเต็ม สนุก พร้อมเพิ่มความจำจาก Memologic และ Dictation ด้วยเนื้อหาการเรียนถึง 29 ชั่วโมงเต็ม ในราคา S.E.L.F. เพียง 3,000 บาท

เทคนิคการเดาข้อสอบภาษาอังกฤษที่พี่ๆ Interpass ได้นำมาฝากกันในบทความนี้ เป็นเทคนิคสุดยอดที่น้องๆ สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกการสอบ เนื่องจากข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาคล้ายๆกัน เช่น วัดระดับไวยากรณ์ วัดความรู้คำศัพท์ วัดความเข้าใจภาษาอังกฤษ เป็นต้น ดังนั้นน้องๆ ควรที่จะเตรียมตัวก่อนสอบให้พร้อมที่สุดก่อน แล้วจึงนำเทคนิคการเดาข้อสอบภาษาอังกฤษไปใช้ในห้องสอบ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ช่วยให้น้องๆ ทำข้อสอบได้ไวขึ้น และมีเวลาทวนก่อนส่งข้อสอบ และสำหรับน้องๆ คนใดที่ต้องการตัวช่วย อัพสกิลภาษาอังกฤษ สามารถติดต่อพี่ๆ Interpass ผ่าน Line: @interpass เพื่อปรึกษาคอร์สเรียนได้เลย!

ความแตกต่างระหว่าง IELTS ธรรมดา (Standard) และ IELTS UKVI 4 สิ่งที่ต้องมีในการเขียน IELTS Writing Task 1 แบบ Cambridge Examiner By ครูพี่กิ๊บ

Date : Dec 21, 2022

You May Like